fbpx

EPU Easy Clean

EPU (Environmental Polyurethane) Materials
ผลิตจากวัตถุดิบที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก มีความยั่งยืนมากขึ้นและทนทาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม – ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายน้อยลง
ปล่อยสาร VOC ต่ำ – ลดการปล่อยสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
รีไซเคิลและย่อยสลายได้ – ออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น

น้ำหนัก: 480g/2m
care:
washing – do not wash
bleaching – do not bleach
drying – do not tumble dry
ironing – do not iron
dry cleaning – dry clean (wipe it with a towel or use a leather deep cleaner)

Artificial Leather with Backbonding เคลือบสาร easy clean ทำให้ลดการเกาะติดของสิ่งสกปรก คราบน้ำมัน น้ำ หมึก และรอยเปื้อนต่าง ๆได้

Nap Shadowing Velvet รอยเงาจากเส้นใยเอียงในผ้ากำมะหยี่

Shading หรือ Nap Shadowing เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยในผ้ากำมะหยี่ (Velvet) และผ้าที่มีเส้นใยตั้งตัว เช่น ผ้าสักหลาด (Mohair) และผ้ากำมะหยี่สังเคราะห์ (Synthetic Velvet) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเส้นใยของผ้าถูกกดหรือเอียงไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดรอยเงาบนพื้นผ้าเมื่อแสงตกกระทบ ทำให้สีของผ้าดูเข้มหรืออ่อนต่างกันไปตามมุมมอง

สาเหตุของ Shading หรือ Nap Shadowing

  • ธรรมชาติของเส้นใย (Pile Fabric Nature) – ผ้ากำมะหยี่มีเส้นใยที่ตั้งขึ้นจากพื้นผ้า เมื่อเส้นใยเหล่านี้เปลี่ยนทิศทาง การสะท้อนแสงจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดเฉดสีที่แตกต่างกัน
  • แรงกดทับจากการใช้งาน (Pressure & Usage) – การนั่ง ทับ หรือพับผ้าเป็นเวลานานอาจทำให้เส้นใยบางส่วนเอนหรือล้มตัว จนเกิดรอยเงาหรือบริเวณที่ดูซีดลง
  • การผลิตและกระบวนการตัดเย็บ (Manufacturing & Sewing Process) – การทอหรือการตัดเย็บที่มีความตึงหรือคลายต่างกันอาจทำให้เส้นใยบางส่วนเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกิดรอยเงา
  • การสัมผัสและการลูบไล้ (Touch & Handling) – การลูบผ้าไปในทิศทางที่ต่างกันสามารถเปลี่ยนทิศทางของเส้นใยได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเฉดสีแบบชั่วคราว
  • ความชื้นและอุณหภูมิ (Moisture & Temperature) – ความชื้นสามารถทำให้เส้นใยนุ่มและเปลี่ยนทิศทางง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดรอยเงาเมื่อแห้งแล้ว

วิธีป้องกันการเกิด Shading

  • เลือกใช้ผ้าที่มีคุณภาพสูง – ผ้ากำมะหยี่ที่ผลิตอย่างดีจะมีเส้นใยที่ทนทานต่อการเสียรูปและการเปลี่ยนทิศทางของขนผ้า
  • ใช้การออกแบบที่เหมาะสม – หากเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือม่าน ควรเลือกผ้าที่มีการตัดเย็บให้เหมาะสมกับทิศทางของเส้นใย เพื่อป้องกันการเกิดรอยเงาที่ไม่พึงประสงค์
  • หมุนเวียนการใช้งาน – สำหรับเฟอร์นิเจอร์ ควรพลิกหรือสลับการใช้งานเป็นระยะเพื่อลดแรงกดที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด
  • ดูแลรักษาอย่างถูกต้อง – หลีกเลี่ยงการกดทับหรือขยี้ผ้าอย่างรุนแรง และใช้แปรงกำมะหยี่สำหรับการทำความสะอาด

วิธีแก้ไขเมื่อเกิด Shading หรือ Nap Shadowing

  1. ใช้ไอน้ำ (Steaming) – ถือเตารีดไอน้ำห่างจากพื้นผ้าเล็กน้อยแล้วใช้แปรงขนนุ่มปัดเส้นใยให้กลับสู่ทิศทางเดิม
  2. ใช้แปรงกำมะหยี่ (Velvet Brush) – แปรงเบา ๆ ไปในทิศทางเดียวกับแนวเส้นใยเดิมเพื่อช่วยคืนสภาพ
  3. แขวนผ้าในห้องน้ำที่มีไอน้ำ – สำหรับเสื้อผ้าหรือม่านที่มีรอยเงา การแขวนไว้ในห้องน้ำที่มีไอน้ำสามารถช่วยให้เส้นใยคืนรูปได้
  4. ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ กดเบา ๆ – จากนั้นใช้ไดร์เป่าผมที่ลมอุ่นเป่าให้แห้งพร้อมปัดเส้นใยกลับไปในทิศทางเดิม
  5. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูง – ไม่ควรใช้เตารีดโดยตรงกับผ้ากำมะหยี่ เพราะอาจทำให้เส้นใยเสียหายถาวรได้

Shading หรือ Nap Shadowing เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของผ้ากำมะหยี่และผ้าขนตั้งอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การเลือกใช้ผ้าที่เหมาะสมและการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีสามารถช่วยลดปัญหานี้ได้ หากเกิดรอยเงาขึ้นแล้ว ก็ยังสามารถใช้วิธีแก้ไขต่าง ๆ เช่น การใช้ไอน้ำและการแปรงเส้นใยเพื่อคืนสภาพเดิม ทำให้ผ้าดูสวยงามเหมือนใหม่อีกครั้ง


Home Textile VS Garment Textile

ผ้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัย (Home Textile) และผ้าเสื้อผ้า (Garment Textile) มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทั้งในแง่ของ คุณสมบัติ วัสดุ กระบวนการผลิต และการใช้งาน ดังนี้

วัตถุประสงค์การใช้งาน

  • Home Textile: ใช้สำหรับตกแต่งภายใน เช่น ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ผ้าปูที่นอน พรม ฯลฯ ซึ่งต้องทนทานต่อการใช้งานเป็นเวลานาน และรองรับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น แสงแดด ความชื้น และแรงเสียดสี
  • Garment Textile: ใช้ทำเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ซึ่งต้องให้ความสบายเมื่อสวมใส่ ระบายอากาศได้ดี และเข้ากับสรีระของร่างกาย

ประเภทของเส้นใย

  • Home Textile: มักใช้เส้นใยที่มีความแข็งแรง ทนทาน เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน ฝ้ายหนา ลินินหนา ไมโครไฟเบอร์ หรือเส้นใยสังเคราะห์พิเศษ ที่สามารถกันน้ำ กันไฟ หรือกันรังสียูวีได้
  • Garment Textile: ใช้เส้นใยที่เน้นความสบายและความยืดหยุ่น เช่น ฝ้าย เรยอน ลินิน ไหม วูล โพลีเอสเตอร์บาง หรือสแปนเด็กซ์

โครงสร้างและกระบวนการทอ

  • Home Textile: ทอให้มีความหนาแน่นสูง เส้นด้ายใหญ่และหนากว่า เพื่อความแข็งแรงและคงทน เช่น ผ้าทอแจ็คการ์ด ผ้าแคนวาส ผ้าไหมพรมหนา ผ้าโพลีเอสเตอร์เคลือบกันน้ำ
  • Garment Textile: เน้นความนุ่มนวล ยืดหยุ่น และมีโครงสร้างที่บางเบากว่า เช่น ผ้าฝ้ายป๊อปลิน ผ้าไหมชีฟอง ผ้ายืดเจอร์ซีย์ ผ้าซาติน

คุณสมบัติเพิ่มเติม

  • Home Textile: มักมีการเพิ่มคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันไฟ (Flame Retardant), กันน้ำ (Water-Resistant), กันรังสียูวี (UV Protection), ป้องกันแบคทีเรีย (Antimicrobial)
  • Garment Textile: ให้ความสำคัญกับ การระบายอากาศ ความยืดหยุ่น ความนุ่มสบาย และน้ำหนักเบา เพื่อให้เหมาะกับการสวมใส่

การบำรุงรักษาและความทนทาน

  • Home Textile: ทนทานต่อการซักหลายครั้ง สีไม่ซีดง่าย บางชนิดสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ เช่น ผ้าเคลือบกันน้ำ
  • Garment Textile: ต้องดูแลเรื่องการซักและรีดอย่างเหมาะสม เนื่องจากบางประเภทอาจยับง่ายหรือเสียรูปทรง

ราคาและการผลิต

  • Home Textile: มักมีราคาสูงกว่า เนื่องจากต้องใช้เส้นใยคุณภาพสูงและกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า เช่น ผ้าม่านกันแสง ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์กันรอยขีดข่วน
  • Garment Textile: ราคาขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและแบรนด์ แต่โดยทั่วไปผลิตในปริมาณมากและต้นทุนต่ำกว่าผ้าตกแต่งบ้าน

ฤดูกาลกับ Home Textile และ Garment Textile

ฤดูกาลมีผลกับ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (Garment Textile) มากกว่าผ้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัย (Home Textile) เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่อยู่ติดกับร่างกาย จึงต้องคำนึงถึง ความสบาย การระบายอากาศ และการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย เป็นหลัก เช่น ในฤดูร้อน คนมักเลือกใส่ผ้าที่บางเบาและระบายความชื้นได้ดีอย่าง ผ้าลินิน (Linen) หรือผ้าฝ้ายบาง (Lightweight Cotton) เพื่อให้รู้สึกเย็นสบายและไม่อับชื้น ในขณะที่ฤดูหนาวต้องใช้ผ้าที่หนาขึ้น เช่น ขนสัตว์ (Wool) หรือผ้าเฟลนเนล (Flannel) เพื่อกักเก็บความร้อนและป้องกันความหนาวเย็น นอกจากนี้ ฤดูกาลยังส่งผลต่อการเลือกเนื้อผ้าแบบยืดหยุ่น เช่น ผ้ายืดเจอร์ซีย์ (Jersey) ที่เหมาะกับอากาศเย็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง

ในทางกลับกัน ผ้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัย (Home Textile) ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยเหมือนเสื้อผ้า แต่จะเน้นที่ ความสวยงามและความกลมกลืนกับสไตล์ของบ้าน มากกว่า แม้บางครั้งการเลือกผ้าอาจพิจารณาตามสภาพอากาศ เช่น ผ้าม่านทึบแสง (Blackout) ที่ช่วยป้องกันความร้อนในช่วงหน้าร้อน หรือผ้าบุเฟอร์นิเจอร์กำมะหยี่ (Velvet) ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว แต่โดยรวมแล้ว การเลือกใช้ผ้าตกแต่งบ้านมักขึ้นอยู่กับธีมและบรรยากาศของห้องมากกว่า เช่น ผ้าแจ็คการ์ด (Jacquard) หรือผ้าแคนวาส (Canvas) ที่เพิ่มความหรูหราหรือความคลาสสิกให้กับห้องรับแขก หรือ ผ้าม่านโปร่ง (Sheer) ที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในบ้านได้มากขึ้น ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร

สรุป

Home Textile และ Garment Textile ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ผ้าตกแต่งบ้านต้องทนทาน แข็งแรง และอาจมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้น ขณะที่ผ้าเสื้อผ้าต้องให้ความสบาย มีน้ำหนักเบา และเหมาะกับการสวมใส่


รางม่านมอเตอร์ SOMFY กับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในบ้าน

รางม่านมอเตอร์ SOMFY ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความทันสมัยให้กับบ้านของคุณ ด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมที่สามารถควบคุมม่านได้อย่างง่ายดายผ่านรีโมท แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่งการสั่งงานด้วยเสียง รางม่านมอเตอร์จาก SOMFY แบรนด์ชั้นนำจากฝรั่งเศสที่มีประสบการณ์กว่า 50 ปีในการพัฒนาระบบอัตโนมัติสำหรับบ้าน มาพร้อมคุณสมบัติเด่น เช่น ระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติที่เงียบ เซ็นเซอร์ตรวจจับแสงแดดที่ช่วยปรับระดับม่านโดยอัตโนมัติ และการเชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม เช่น Google Assistant และ Amazon Alexa ทำให้สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดม่านตามสภาพอากาศและความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างสะดวก

นอกจากความสะดวกสบายที่ได้จากรางม่านมอเตอร์ SOMFY แล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประหยัดพลังงานให้กับบ้าน ระบบมอเตอร์ของ SOMFY ได้รับการออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูง ป้องกันการดึงหรือกระแทกที่อาจทำให้ม่านเสียหาย และยังช่วยลดค่าไฟฟ้าโดยการปรับม่านให้เหมาะสมกับอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้บ้านเย็นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศมากเกินไป การลงทุนในรางม่านมอเตอร์ SOMFY ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกและความสวยงามให้บ้าน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาวอีกด้วย


SOMFY โซลูชันที่ส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตคุณสะดวกสบายขึ้น

รางม่านมอเตอร์ SOMFY ที่นิทัสเป็นตัวแทนจำหน่ายมีด้วยกันสองรุ่นคือ

  1. มอเตอร์ Irismo™ Plus รุ่น 35 RTS  และ 50 RTS
  2. มอเตอร์ Irismo™ Plus Wirefree รุ่น 35 RTS 

ฟังก์ชันหลัก

  • สั่งงานเปิดปิด กำหนดฟังก์ชัน ได้ทั้งแบบสวิตช์ติดผนัง และแบบรีโมต
  • สามารถกำหนดตำแหน่งการเปิดจากด้านข้าง ซ้าย/ขวา หรือแยกกลาง
  • สามารถกำหนดตำแหน่งการติดตั้งทางด้านซ้าย หรือด้านขวาก็ได้

มอเตอร์ Irismo™ Plus รุ่น 35 RTS  และ 50 RTS

  • มีให้เลือกในรุ่น WT / RTS
  • มอเตอร์มาตรฐานแบบเงียบ เหมาะสำหรับพื้นที่พักอาศัย
  • เหมาะสำหรับหน้าต่างมาตรฐาน เช่น ห้องนอน ขนาดกว้างและสูงไม่เกิน 6 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผ้าม่านสูงสุด 35 กิโลกรัม และ 50 กิโลกรัม
  • การเคลื่อนที่เริ่มต้นและหยุดแบบปกติ
  • ความเร็วเฉลี่ยมาตรฐาน 15 ซม./วินาที
  • สามารถเชื่อมต่อการเดินสายไฟแบบขนานเพื่อควบคุมมอเตอร์หลายตัวพร้อมกัน (WT)
  • ฟีเจอร์ Touch Motion – เพียง ดึงผ้าม่านเบา ๆ เพื่อให้มอเตอร์เริ่มทำงาน

มอเตอร์ Irismo™ Plus Wirefree รุ่น 35 RTS 

  • รองรับเฉพาะระบบไร้สาย RTS (Radio Technology Somfy)
  • ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (Lithium Ion Battery)ไม่ต้องเดินสายไฟ
  • เหมาะสำหรับ หน้าต่างมาตรฐาน เช่น ห้องนอน ขนาดกว้างและสูงไม่เกิน 6 เมตร
  • รองรับน้ำหนักผ้าม่านสูงสุด 35 กิโลกรัม
  • มีฟังก์ชัน Touch Motion (แตะเบา ๆ เพื่อให้มอเตอร์ทำงาน), Manual Override (สามารถดึงเปิด-ปิดได้แม้ไม่มีไฟ) และ การตั้งค่าจุดหยุดอัตโนมัติ (End Limits Setting)
  • แบตเตอรี่แบบชาร์จได้ ใช้งานได้นานสูงสุด 6 เดือนต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

รีโมทมือถือ SITUO® RTS

SITUO® RTS HAND-HELD REMOTES ควบคุมอุปกรณ์ Radio Technology Somfy® (RTS) ได้อย่างง่ายดายด้วยรีโมท Situo® RTS ที่ออกแบบมาอย่างหรูหรา ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Somfy

  • ดีไซน์ตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) จับถนัดมือ
  • มีที่แขวนติดผนัง (Wall Support) ทำให้จัดเก็บสะดวกและหาง่าย
  • รูปลักษณ์ทันสมัย เสริมความหรูหราให้กับทุกสไตล์การตกแต่ง

คุณสมบัติการควบคุม

  • สามารถตั้งค่าตำแหน่งโปรด (“my” หรือ Favorite Position) เพื่อให้มอเตอร์เคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการทุกครั้งได้อย่างแม่นยำ
  • แต่ละช่องสัญญาณ สามารถควบคุม มอเตอร์หนึ่งตัว หรือ กลุ่มมอเตอร์ ได้

รางม่านมอเตอร์สามารถดัดโค้งได้หรือไม่

รางม่านมอเตอร์  Somfy สามารถดัดโค้งได้ แต่ต้องเป็นรุ่นที่รองรับการดัดโค้งโดยเฉพาะ มีข้อกำหนด ข้อควรพิจารณา เช่น รัศมีขั้นต่ำของการดัดโค้ง 300 mm ส่วนปลายรางทั้งสองด้าน จะดัดโค้งสุดปลายรางไม่ได้ จะเป็นเส้นตรง ประมาณ 285 mm ตามข้อจำกัดของกระบวนการดัดโค้ง และควรใช้มอเตอร์ที่มีกำลังเพียงพอ เนื่องจากม่านบนรางโค้งอาจมีแรงต้านมากกว่ารางตรง


คำศัพท์เฉพาะที่เจอมันคืออะไรกันนะ

WT (Wired Technology) ระบบเดินสายไฟ

  • ต้องเดินสายไฟ เพื่อเชื่อมต่อมอเตอร์เข้ากับสวิตช์ควบคุม
  • รองรับการเชื่อมต่อขนาน เพื่อควบคุมมอเตอร์หลายตัวพร้อมกัน
  • ไม่รองรับรีโมทไร้สาย โดยตรง (ต้องใช้ตัวควบคุมเพิ่มเติม)
  • เหมาะสำหรับ โปรเจกต์ติดตั้งถาวรที่มีระบบไฟอยู่แล้ว

RTS  (Radio Technology Somfy) คือ เทคโนโลยีควบคุมระยะไกลแบบไร้สายของ Somfy บริษัทผู้ผลิตมอเตอร์และระบบอัตโนมัติสำหรับผ้าม่าน ม่านม้วน มู่ลี่ ประตู และหน้าต่างจากฝรั่งเศส

คุณสมบัติของ RTS (Radio Technology Somfy)

  • การควบคุมไร้สาย – ใช้คลื่นวิทยุ 433.42 MHz สามารถควบคุมมอเตอร์จากระยะไกลโดยไม่ต้องเดินสาย
  • ใช้งานง่าย – รองรับรีโมทคอนโทรล สวิตช์ไร้สาย และแอปพลิเคชันบางรุ่น
  • รองรับหลายอุปกรณ์ – หนึ่งรีโมทสามารถควบคุมมอเตอร์หลายตัว เช่น ผ้าม่านไฟฟ้า ประตูโรงรถ หรือกันสาด
  • รองรับระบบสมาร์ทโฮม – แม้ว่า RTS จะเป็นระบบปิด แต่สามารถใช้งานร่วมกับระบบสมาร์ทโฮมผ่านอุปกรณ์เสริม เช่น Tahoma Switch หรือ Connexoon
  • ติดตั้งง่าย – ไม่ต้องใช้สายสัญญาณเพิ่มเติม เหมาะสำหรับการติดตั้งภายหลัง

WireFree Somfy คือเทคโนโลยีมอเตอร์ไร้สายของ Somfy ที่ออกแบบมาให้ทำงานโดยใช้แบตเตอรี่ โดยไม่ต้องเดินสายไฟ ทำให้ติดตั้งง่ายและเหมาะสำหรับ บ้านหรือคอนโด ที่ต้องการอัปเกรดผ้าม่านหรือมู่ลี่ที่มีอยู่แล้ว โดยไม่ต้องการเจาะผนังเดินสายไฟใหม่ เพราะสามารถรติดตั้งง่ายและรวดเร็ว

คุณสมบัติของ WireFree Somfy

  • ไร้สาย 100% – ไม่ต้องใช้สายไฟ สามารถติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว
  • ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ – ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งสามารถเปลี่ยนหรือชาร์จใหม่ได้
  • รองรับแผงโซลาร์เซลล์ – บางรุ่นสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้แบตเตอรี่
  • ควบคุมผ่านรีโมทหรือสมาร์ทโฮม – รองรับ RTS (Radio Technology Somfy)
  • เงียบและประหยัดพลังงาน – ใช้พลังงานต่ำและมีเสียงเงียบขณะทำงาน
  • ติดตั้งได้หลายแบบ – เหมาะสำหรับม่านม้วน ม่านพับ มู่ลี่ และกันสาด

นิทัสตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรางม่านมอเตอร์ SOMFY คุณภาพที่คุณไว้วางใจได้จากฝรั่งเศส

สั่งซื้อ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 333 0666

หรือติดต่อพนักงานขายประจำเขตของท่าน


Abrasion VS Pilling resistance

ความแตกต่างระหว่างการทดสอบความต้านทานการขัดถูและความต้านทานการเกิดขุยตามมาตรฐาน ISO

ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การทดสอบคุณสมบัติของผ้ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านความทนทานและอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ หนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ต้องพิจารณาคือ ความต้านทานการขัดถู (Abrasion Resistance) และ ความต้านทานการเกิดขุย (Pilling Resistance) ซึ่งใช้มาตรฐานที่แตกต่างกัน ได้แก่ ISO 12947-2:2016 และ ISO 12945-2:2020 ตามลำดับ บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างของการทดสอบทั้งสองประเภทอย่างละเอียด

ความต้านทานการขัดถู (Abrasion Resistance)

ตามมาตรฐาน ISO 12947-2:2016 “Textiles — Determination of the abrasion resistance of fabrics by the Martindale method — Part 2: Determination of specimen breakdown” หรือ “หมวดการทดสอบสิ่งทอ — การหาค่าความต้านทานการขัดถูของผ้าโดยวิธี Martindale — ส่วนที่ 2: การกำหนดค่าความเสียหายของตัวอย่าง”

การทดสอบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถของผ้าในการทนต่อแรงขัดถู ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผ้าที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เบาะรถยนต์ หรือเสื้อผ้า การทดสอบตาม ISO 12947-2:2016 ใช้เครื่อง Martindale Abrasion Tester โดยมีหลักการดังนี้:

  • นำตัวอย่างผ้ามาวางบนเครื่องทดสอบ และใช้วัสดุขัดถู เช่น ผ้าขนสัตว์หรือกระดาษทราย กดลงบนตัวอย่างด้วยแรงที่กำหนด
  • ผ้าจะถูกขัดถูในรูปแบบวงกลมที่เรียกว่า Lissajous Figure ซึ่งช่วยกระจายแรงขัดให้ทั่วพื้นผิว
  • การทดสอบดำเนินไปจนกว่าผ้าจะเกิดความเสียหาย เช่น เส้นด้ายขาด หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • ค่าที่ได้จะถูกวัดเป็น จำนวนรอบ (Cycles) ที่ผ้าสามารถทนได้ก่อนเกิดความเสียหาย

ความต้านทานการเกิดขุย (Pilling Resistance)

ตามมาจรฐาน ISO 12945-2:2020 “Textiles — Determination of fabric propensity to surface fuzzing and to pilling — Part 2: Modified Martindale method” หรือ “หมวดการทดสอบสิ่งทอ — การทดสอบแนวโน้มของผ้าในการเกิดขุยและเส้นใยฟูบนพื้นผิว — ส่วนที่ 2: วิธี Martindale ฉบับปรับปรุง”

การเกิดขุยเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผ้าทอและผ้าถัก โดยเกิดจากเส้นใยที่หลุดออกจากโครงสร้างของผ้าและพันกันเป็นก้อนเล็ก ๆ การทดสอบ ISO 12945-2:2020 ใช้เครื่อง Martindale Pilling Tester หรือ Pilling Box โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  • นำตัวอย่างผ้าไปขัดถูโดยให้เกิดการเสียดสีระหว่างตัวผ้าเองหรือกับวัสดุทดสอบ
  • ใช้ระยะเวลาและแรงกดที่กำหนดตามมาตรฐาน เพื่อจำลองการใช้งานจริง
  • หลังจากผ่านรอบการขัดถูแล้ว ตัวอย่างจะถูกนำมาประเมินด้วยการเปรียบเทียบกับระดับมาตรฐาน (Grading Scale) ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 1 (แย่ที่สุด) ถึง 5 (ดีที่สุด)
  • ผลลัพธ์ช่วยให้สามารถประเมินแนวโน้มของผ้าในการเกิดขุยระหว่างการใช้งาน

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการทดสอบทั้งสอง

แม้ว่าทั้งสองการทดสอบจะเกี่ยวข้องกับการเสียดสีของผ้า แต่มีจุดมุ่งหมายและกระบวนการที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ISO 12947-2:2016 วัดความทนทานของเนื้อผ้าเมื่อถูกขัดถูจนเกิดความเสียหาย
  • ISO 12945-2:2020 วัดแนวโน้มของผ้าในการเกิดขุยและการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบคล้ายกัน แต่มีวิธีการประเมินผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน การทดสอบทั้งสองมาตรฐานช่วยให้ผู้ผลิตสามารถเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สี AZO คืออะไร

ความหมายและคุณสมบัติของสาร AZO

สาร AZO (Azo Compounds) เป็นกลุ่มสารเคมีที่มีลักษณะเด่นคือพันธะไนโตรเจนคู่ (N=N) ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างสีสันที่สดใสและคงทนได้ สีย้อมประเภทนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น การย้อมผ้าและเส้นด้าย รวมถึงในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น หมึกพิมพ์ สีทาบ้าน และสารเคลือบที่ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ข้อดีของสาร AZO คือสามารถผลิตสีได้หลากหลาย เช่น สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน และมีความคงทนต่อการซักล้าง แสงแดด และสารเคมี อย่างไรก็ตาม สาร AZO บางชนิดสามารถปล่อยสารเคมีอันตรายได้เมื่อเกิดการย่อยสลาย หรืออยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น แสง UV หรืออุณหภูมิสูง

ความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เมื่อสาร AZO แตกตัว อาจปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีวงแหวนเบนซีนและหมู่ฟังก์ชันอะมิโน (-NH₂) ซึ่งบางชนิด เช่น Benzidine, 4-Aminoazobenzene และ 2-Naphthylamine ได้รับการระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็งจากองค์กรด้านสุขภาพระดับนานาชาติ หากมีการสัมผัสกับ PAAs เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะผ่านการดูดซึมทางผิวหนังหรือทางเดินหายใจ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ นอกจากนี้ สารเหล่านี้ยังสามารถปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในระยะยาว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น หลายประเทศจึงกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย เช่น EN ISO 14362 และ REACH ในสหภาพยุโรป เพื่อควบคุมการใช้สาร AZO ที่มีแนวโน้มเป็นอันตราย

การใช้ AZO ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  1. การย้อมสีผ้าและเส้นด้าย: สาร AZO เป็นหนึ่งในสารที่นิยมใช้ในการย้อมสีผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากมีความสามารถในการให้สีที่สดใส คงทน และใช้งานง่าย การย้อมสีด้วย AZO ทำให้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีสีที่ทนทานต่อแสงและการซัก
  2. สีย้อม AZO: สีย้อม AZO มีความทนทานสูงและสามารถให้สีที่มีความคมชัดและสดใส ทำให้ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น การผลิตเสื้อผ้า, ผ้าปูโต๊ะ, ผ้าม่าน, และสิ่งทออื่นๆ
  3. ประเภทของสีย้อม: สีย้อม AZO ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น สีย้อม AZO ที่ให้สีแดง, สีเหลือง, สีเขียว และสีอื่นๆ แต่ละชนิดมีคุณสมบัติการย้อมที่แตกต่างกันไป
  4. การใช้ AZO ในการพิมพ์: สาร AZO ยังสามารถใช้ในการพิมพ์ลวดลายบนผ้า เช่น ในการพิมพ์ลายเสื้อหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากผ้า

ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การควบคุมสาร AZO ถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลายประเทศได้ออกข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อจำกัดหรือห้ามใช้สาร AZO ที่สามารถปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้า เครื่องนอน และสิ่งทอสำหรับเด็ก สหภาพยุโรปกำหนดข้อบังคับผ่านระเบียบ REACH (Regulation on Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) ซึ่งห้ามใช้สีย้อม AZO ที่ปล่อย PAAs เกินค่าที่กำหนด นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ก็มีมาตรฐานควบคุมที่เข้มงวดเช่นกัน

มาตรฐาน EN ISO 14362 เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ตรวจสอบสิ่งทอว่าปราศจากสาร AZO ที่อาจเป็นอันตราย โดยกระบวนการทดสอบจะวิเคราะห์การแตกตัวของสารเคมีเหล่านี้ในสภาวะที่เลียนแบบการใช้งานจริง เพื่อลดความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ผู้ผลิตสิ่งทอจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ และส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ แนวทางด้านความยั่งยืน เช่น การใช้สีย้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเทคโนโลยีการย้อมสีแบบไม่ใช้สาร AZO ก็กำลังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม


EN ISO 14362.1-2017 

“Textiles — Methods for the detection of certain aromatic amines derived from AZO colourants — Part 1: Detection of the use of certain AZO colourants accessible to the standard conditions of use”

คือ มาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบและทดสอบสารเคมีในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ โดยเฉพาะสารในกลุ่ม AZO ที่อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ มาตรฐานนี้มุ่งเน้นในการตรวจหาสาร Primary aromatic amines (PAAs) ซึ่งอาจเกิดจากการแตกตัวของสาร AZO ในกระบวนการย้อมสีผ้าหรือเส้นด้าย

วัตถุประสงค์

  • การตรวจหาสาร AZO: มาตรฐานนี้ใช้สำหรับการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอ (เช่น เสื้อผ้า, ผ้าม่าน, หรือผ้าอื่นๆ) ปราศจากการใช้สาร AZO ที่สามารถแตกตัวเป็นสารก่อมะเร็งได้ สารก่อมะเร็ง เช่น AnilineBenzidine, และ 2-Naphthylamine ที่สามารถพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในผู้บริโภค

วิธีการทดสอบ

  • การเตรียมตัวอย่าง: ในการทดสอบนี้จะใช้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ผ้า หรือเส้นด้าย เพื่อนำมาทดสอบ
  • การสกัดสาร: สารเคมีจากตัวอย่างสิ่งทอจะถูกสกัดออกมาเพื่อตรวจหา presence ของสาร AZO หรือสารที่อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
  • การวิเคราะห์: ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูง เช่น การใช้ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) หรือ Mass Spectrometry (MS) เพื่อหาสาร Primary aromatic amines (PAAs) ที่อาจเกิดจากการแตกตัวของสาร AZO

มาตรฐาน EN ISO 14362-1:2017 กำหนดวิธีการตรวจสอบและขีดจำกัดของสาร AZO ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ โดยควบคุมไม่ให้มีการปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs)  เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพและความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง การทดสอบตามมาตรฐานนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของตนปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดที่เข้มงวด เช่น สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสนับสนุนแนวทางการผลิตสิ่งทอที่ปลอดภัยและยั่งยืน

ผ้าของนิทัสที่ผ่านการทดสอบ ตามมาตรฐาน EN ISO 14362-1:2017 มีดังนี้

80058 CARL, 80059 ALLAN, 80060 DENTE


OEKO-TEX STANDARD 100 มาตรฐานสากลที่รับรองความปลอดภัยของสิ่งทอและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดขีดจำกัดของสารเคมีอันตราย รวมถึง สาร AZO ที่อาจปล่อย Primary Aromatic Amines (PAAs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และของใช้สำหรับเด็ก

ผ้าของนิทัสที่ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX STANDARD 100 คลิก


HEAVY METAL ที่ไม่ใช่วงร็อก แต่คือสารโลหะหนักที่มีผลเสียต่อสุขภาพ

เมื่อคุณได้ยินคำว่า “Heavy Metals” สิ่งแรกที่อาจจะนึกถึงคือวงดนตรีร็อกที่มีกีตาร์เสียงดัง ดนตรีหนักแน่น และการแสดงที่เต็มไปด้วยพลัง แต่ในทางวิทยาศาสตร์ “Heavy Metals” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดนตรีเลย! พวกมันคือสารโลหะหนักที่แฝงตัวอยู่รอบตัวเรา และบางครั้งอาจเป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้

Heavy Metals หรือ โลหะหนัก หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นสูง (มากกว่า 5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) มีคุณสมบัติทางเคมีที่หลากหลาย ซึ่งบางชนิดจำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม แต่ถ้าสะสมเกินไปหรือได้รับในระดับที่เป็นพิษ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

โลหะหนักมาจากไหน?

โลหะหนักสามารถพบได้ในแหล่งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น:

  • ธรรมชาติ: ดิน หิน และน้ำใต้ดินที่มีโลหะหนักสะสมอยู่
  • อุตสาหกรรม: การเผาไหม้ถ่านหิน, การผลิตสี, การฟอกหนัง, และการชุบโลหะ
  • ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน: เครื่องสำอาง, สีทาเล็บ, ของเล่นเด็ก, และสิ่งทอ

ผลกระทบของ Heavy Metals ต่อสุขภาพ

โลหะหนักบางชนิดมีผลกระทบต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ดังนี้:

  • ตะกั่ว (Lead): เป็นพิษต่อระบบประสาท โดยเฉพาะในเด็ก, อาจก่อให้เกิดปัญหาการเรียนรู้และพฤติกรรม
  • ปรอท (Mercury): ทำลายระบบประสาทและสมอง พบได้ในอาหารทะเลที่ปนเปื้อน เช่น ปลาขนาดใหญ่
  • แคดเมียม (Cadmium): เป็นพิษต่อตับและไต สามารถสะสมในกระดูก ทำให้เกิดปัญหากระดูกพรุน
  • โครเมียม (Chromium VI): เป็นสารก่อมะเร็ง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

Heavy Metals (โลหะหนัก) ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มีการใช้งานในบางกระบวนการผลิต และในบางกรณีอาจพบเป็นสารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เนื่องจากสารประกอบโลหะหนักมักถูกใช้ในกระบวนการย้อมสี การฟอก การพิมพ์ลาย และการตกแต่งผ้า โดยโลหะหนักที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งทอมีทั้งที่ตั้งใจใช้และปนเปื้อนมาในกระบวนการผลิต

โลหะหนักที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  • ตะกั่ว (Lead, Pb): ใช้ในสีย้อมหรือสารเคลือบบางชนิด ตกค้างจากสารช่วยย้อมสีในกระบวนการผลิต
  • ปรอท (Mercury, Hg): อาจพบในสารช่วยฟอกสีหรือสารเคมีที่ใช้ในการตกแต่งผ้า
  • แคดเมียม (Cadmium, Cd): ใช้ในสีย้อมบางประเภท เช่น สีเหลืองหรือสีแดง พบเป็นสารปนเปื้อนในน้ำเสียจากการผลิต
  • โครเมียม (Chromium, Cr): ใช้ในกระบวนการย้อมผ้าขนสัตว์และผ้าหนัง เช่น การฟอกหนัง
  • ทองแดง (Copper, Cu): ใช้ในสีย้อมชนิดพิเศษ เช่น สีย้อมที่ต้องการความคงทนต่อแสงและน้ำ พบในสีย้อม Reactive และ Vat dyes
  • นิกเกิล (Nickel, Ni): อาจพบในส่วนประกอบของอุปกรณ์ตกแต่ง เช่น กระดุมหรือซิป

ผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

  • สุขภาพมนุษย์: การสัมผัสโลหะหนักผ่านเสื้อผ้าอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง, อาการแพ้, หรือการสะสมในร่างกายหากมีการสัมผัสในระยะยาว โลหะหนักบางชนิด เช่น โครเมียม (VI) หรือปรอท เป็นสารก่อมะเร็งและอันตรายต่อระบบอวัยวะ
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: น้ำเสียจากกระบวนการผลิตสิ่งทออาจมีโลหะหนักปนเปื้อน หากไม่มีการบำบัดที่เหมาะสมจะส่งผลเสียต่อแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม การสะสมในดินและแหล่งน้ำอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อาหาร

มาตรฐานการควบคุมโลหะหนักในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

  1. มาตรฐาน Oeko-Tex Standard 100: จำกัดปริมาณโลหะหนักที่สามารถตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และโครเมียม
  2. REACH Regulation (EU): กฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่ควบคุมสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ รวมถึงโลหะหนัก
  3. GB/T 17593.2-2007 มาตรฐานจีน (GB/T) ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอ

GB/T 17593.2-2007

เป็นมาตรฐานจีน (GB/T) ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยชื่อเต็มของมาตรฐานนี้คือ: Textiles – Determination of heavy metals – Part 2: Extractable heavy metals (ภาษาจีน: 纺织品 有害重金属的测定 第2部分: 可萃取重金属)

มาตรฐาน GB/T 17593.2-2007

  1. ขอบเขต (Scope): มาตรฐานนี้ใช้สำหรับการตรวจสอบและกำหนดปริมาณ โลหะหนักที่สามารถสกัดได้ (Extractable Heavy Metals) ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และวัสดุที่เกี่ยวข้อง
  2. วัตถุประสงค์: ประเมินปริมาณโลหะหนักที่สามารถหลุดออกมาจากสิ่งทอเมื่อสัมผัสกับผิวหนังหรือน้ำ ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็กและบุคคลที่มีผิวบอบบาง
  3. โลหะหนักที่ตรวจสอบในมาตรฐานนี้: ตัวอย่างโลหะหนักทั้งหมด 8 ชนิดที่มักจะได้รับการตรวจสอบ ได้แก่:
    • Pb – ตะกั่ว (Lead)
    • Cd – แคดเมียม (Cadmium)
    • Cr – โครเมียม (Chromium)
    • Ni – นิกเกิล (Nickel)
    • Hg – ปรอท (Mercury)
    • As – สารหนู (Arsenic)
    • Co – โคบอลต์ (Cobalt)
    • Sb – พลวง (Antimony)
  4. วิธีการทดสอบ: สกัดโลหะหนักออกจากตัวอย่างสิ่งทอด้วยวิธีทางเคมีใช้สารละลาย จากนั้นใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Atomic Absorption Spectroscopy (AAS) หรือ Inductively Coupled Plasma Mass Spectrometry (ICP-MS) เพื่อวัดปริมาณโลหะหนัก

การนำไปใช้งาน

  • ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ: ใช้สำหรับตรวจสอบผลิตภัณฑ์สิ่งทอก่อนจำหน่าย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น Oeko-Tex, REACH หรือข้อบังคับระดับชาติ
  • สำหรับการส่งออกสินค้า: มาตรฐาน GB/T 17593.2-2007 มีความสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังประเทศจีน เนื่องจากเป็นข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

GB/T 17593.2-2007 เป็นมาตรฐานที่กำหนดวิธีการทดสอบและวิเคราะห์โลหะหนักในสิ่งทอ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สามารถสกัดออกมาได้ เพื่อควบคุมและลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม


“Heavy Metals” ที่ไม่ใช่วงร็อก อาจฟังดูไม่เร้าใจ แต่รู้ไว้จะช่วยให้คุณปลอดภัย!”

ในปัจจุบัน มีการควบคุมการใช้โลหะหนักในอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น Oeko-Tex และ REACH เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แม้โลหะหนักจะมีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม แต่การได้รับในปริมาณที่เกินมาตรฐานอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ


Formaldehyde คืออะไร

Formaldehyde (ฟอร์มาลดีไฮด์) คือสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีสูตรทางเคมีคือ CH₂O หรือเรียกอีกชื่อว่า เมทานัล (Methanal) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ง่ายที่สุดในกลุ่มอัลดีไฮด์ มีลักษณะเป็น ก๊าซไม่มีสี ที่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี โดยเมื่อละลายในน้ำมักเรียกว่า ฟอร์มาลิน (Formalin) ซึ่งเป็นสารละลายที่นิยมใช้งานในหลายอุตสาหกรรม

ฟอร์มาลดีไฮด์พบในอุตสาหกรรมใดบ้าง

ฟอร์มาลดีไฮด์ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่

  1. อุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ: ใช้ในกระบวนการฟอกย้อมและเพิ่มความคงทนของเนื้อผ้า (ลดการยับย่นของผ้า)
  2. อุตสาหกรรมเคมี: เป็นวัตถุดิบในการผลิตเรซิน เช่น ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) และเมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) สำหรับทำพลาสติกและกาว
  3. อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์: ใช้ในการผลิตแผ่นไม้ประกอบ (Particle Board, MDF) เพื่อช่วยยึดติดไม้ให้แน่น
  4. การแพทย์และเครื่องสำอาง: ใช้ในฟอร์มาลินสำหรับฆ่าเชื้อโรคและเก็บรักษาตัวอย่างชีวภาพ เช่น เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะ
  5. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อ: ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

ฟอร์มาลดีไฮด์กับผลกระทบต่อสุขภาพ

ฟอร์มาลดีไฮด์จัดเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีผลกระทบดังนี้

  • ระยะสั้น (Acute Exposure): ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ, ดวงตา, จมูก และลำคอ อาจทำให้เกิดอาการไอ คลื่นไส้ หรือปวดศีรษะ
  • ระยะยาว (Chronic Exposure): การสัมผัสในปริมาณมากและต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งโพรงจมูกและลำคอ องค์กร IARC (International Agency for Research on Cancer) ได้จัดฟอร์มาลดีไฮด์เป็น สารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Group 1 Carcinogen)

การควบคุมและมาตรฐาน

หลายประเทศมีกฎระเบียบควบคุมปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น: สิ่งทอ: ต้องมีปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เช่น <75 ppm สำหรับเสื้อผ้าเด็กในสหภาพยุโรป


ISO 14184-1:2011

Textiles — Determination of formaldehyde — Part 1: Free and hydrolyzed formaldehyde (water extraction method) คือการทดสอบเพื่อวัดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในสิ่งทอและสิ่งที่เกี่ยวข้องตามมาตรฐานสากล ISO โดยมีชื่อเต็มของวิธีการทดสอบคือ:

รายละเอียดของวิธีการทดสอบ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อวัดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ที่สามารถปลดปล่อยได้ (Free และ Hydrolyzed Formaldehyde) ในผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่สัมผัสกับน้ำ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเฟอร์นิเจอร์ หรือผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่อาจมีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
  • วิธีการ: ใช้วิธีสกัดด้วยน้ำ (Water Extraction Method) โดยการนำตัวอย่างสิ่งทอมาทำให้สัมผัสกับน้ำกลั่นภายใต้สภาวะที่ควบคุม (เช่น อุณหภูมิและเวลา) จากนั้นทำการวิเคราะห์ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ที่ปลดปล่อยออกมาในน้ำด้วยวิธีการทางเคมี เช่น Spectrophotometry
  • ความสำคัญของการทดสอบ:
    • เพื่อประเมินความปลอดภัยของสิ่งทอสำหรับผู้บริโภค เนื่องจากฟอร์มาลดีไฮด์อาจเป็นสารก่อระคายเคืองหรือสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูง
    • ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายในหลายประเทศที่กำหนดปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ในสิ่งทอ เช่น EU, USA, และญี่ปุ่น
  • ขอบเขตการใช้งาน: วิธีนี้ใช้สำหรับการวิเคราะห์ฟอร์มาลดีไฮด์ในผ้าหรือผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น การฟอกขาว การย้อม หรือการเคลือบผิว

ผ้าของนิทัสที่ผ่านการทดสอบ ตามมาตรฐาน ISO 14184-1:2011 มีดังนี้

80058 CARL, 80059 ALLAN, 80060 DENTE


ผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรอง OEKO-TEX STANDARD 100 หมายความว่าสาร formaldehyde อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยตามระดับที่กำหนด หรือไม่มีตกค้างในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยมาตรฐานนี้กำหนดขีดจำกัดที่เข้มงวดสำหรับสารฟอร์มาลดีไฮด์ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เช่น เสื้อผ้าเด็กและชุดชั้นใน เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค

ผ้าของนิทัสที่ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX STANDARD 100 คลิก


ABRASION RESISTANCE & SNAGGING RESISTANCE ต่างกันอย่างไร

Snagging Resistance และ Abrasion Resistance เป็นคุณสมบัติสำคัญในการประเมินความทนทานของผ้าหรือวัสดุสิ่งทอ แต่มีจุดประสงค์ วิธีการวัด และความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

Snagging Resistance ความต้านทานต่อการเกิดการเกี่ยว

หมายถึง ความสามารถของผ้าในการต้านทานการเกิด การเกี่ยวดึง (Snags) ซึ่งเกิดจากด้ายหรือเส้นใยถูกเกี่ยวขึ้นมาจากพื้นผิวของผ้า รอยดึงมักเกิดจากการเสียดสีเฉพาะจุด เช่น การขูดกับวัตถุที่มีขอบแหลม หรือการเกี่ยวติดกับเครื่องประดับ มักใช้ในการทดสอบกับผ้าที่มีความเสี่ยงถูกเกี่ยว เช่น เสื้อผ้าที่ใช้ในงานปาร์ตี้ ผ้าม่าน ผ้าที่บุโซฟา หรือผ้าที่ต้องการความเรียบเนียน เป็นต้น

Abrasion Resistance (ความต้านทานต่อการขัดถู)

หมายถึง ความสามารถของผ้าในการทนต่อ การขัดถู (Abrasion) ที่เกิดจากการเสียดสีซ้ำๆ ระหว่างพื้นผิวของผ้ากับวัตถุอื่น เช่น การใช้งานในระยะยาว เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า มักใช้ในการทดสอบกับผ้าที่ต้องเผชิญแรงเสียดสีต่อเนื่อง เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่นั่งเสียดสีถูบ่อยครั้ง, เสื้อผ้ากีฬา เป็นต้น

ทั้ง Snagging Resistance และ Abrasion Resistance เป็นการประเมินความทนทานของผ้าต่อการสึกหรอ แต่เกิดจากปัจจัยที่ต่างกัน และใช้เป็นเกณฑ์ในการทดสอบสิ่งทอสำหรับการใช้งานที่ต้องเผชิญกับแรงกระทำภายนอก เช่น ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์

ลักษณะSnagging ResistanceAbrasion Resistance
ลักษณะของแรงกระทำการเกี่ยวหรือดึงเฉพาะจุดการเสียดสีซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
ผลที่เกิดขึ้นเส้นด้ายหรือเส้นใยถูกดึงขึ้นจากพื้นผิวพื้นผิวสึกหรอ สูญเสียเนื้อผ้า หรือขาด
ประเภทของความเสียหายการเกี่ยวดึง (Snagging)การสึกหรอหรือรอยขาด
ความสำคัญในการใช้งานผ้าบุที่ใช้ตกแต่งที่ต้องการความเรียบเนียน หรือใช้ร่วมกับสัตว์เลี้ยงผ้าบุที่ใช้งานหนัก เช่น โซฟา

วิธีการทดสอบ

Snagging Resistance

การทดสอบ Snagging Resistance มาตรฐานที่ใช้ BS 8479:2008  Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method (BS 8479:2008 หมวดสิ่งทอ – วิธีการทดสอบความโน้มเอียงของผ้าต่อการเกิดขุยและรอยเกี่ยว – ด้วยวิธีการห้องหมุน) หรือมาตรฐานอื่นๆ เช่น ASTM D3939 Standard Test Method for Snagging Resistance of Fabrics (Mace)

วิธีการ: Rotating Chamber Method

  1. ตัวอย่างผ้าถูกตัดตามขนาดที่กำหนด
  2. ใส่ตัวอย่างในเครื่องหมุน (Rotating Chamber) ที่มีวัตถุขรุขระเพื่อสร้างการเกี่ยวหรือขูด
  3. หมุนเครื่องที่รอบกำหนด (เช่น 2000 รอบ)
  4. ประเมินรอยดึงที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโดยการให้คะแนน (Grade 1-5)
    • Grade 5: ไม่มีรอยดึง
    • Grade 1: เกิดรอยดึงอย่างรุนแรง
  5. ระบุประเภทของรอยดึง เช่น Snagging (Defect Type A)

อ่านบทความการทดสอบโดยละเอียดไดที่ https://www.nitas-tessile.com/snagging-resistance/

Abrasion Resistance

การทดสอบ Abrasion Resistance มาตรฐานที่ใช้ ISO 12947 Textiles — Determination of the abrasion resistance of fabrics by the Martindale method (ISO 12947 หมวดสิ่งทอ — การทดสอบความต้านทานการขัดถูของผ้าโดยวิธี Martindale)

วิธีการ: Martindale Abrasion Test

  1. ตัดตัวอย่างผ้าตามขนาดที่กำหนด
  2. ติดตั้งตัวอย่างบนเครื่องทดสอบ Martindale
  3. ใช้จานหมุนที่มีน้ำหนักกดลงบนผ้าในลักษณะวงกลมซ้ำๆ
  4. วัดจำนวนรอบที่ทำให้ผ้าสึกจนเสียหาย หรือจนผิวผ้าเริ่มหลุดลอก
  5. ผลลัพธ์มักระบุเป็น จำนวนรอบ (cycles) เช่น 10,000 cycles หมายถึงผ้าทนต่อการขัดถูได้ 10,000 รอบก่อนจะเสียหาย

สรุป

  • Snagging Resistance เน้นวัดความสามารถในการต้านทานการเกี่ยวหรือดึงเส้นด้ายบนพื้นผิว
  • Abrasion Resistance เน้นวัดความสามารถในการต้านทานการขัดถูหรือการสึกของผ้า

ถ้าคุณตามหาผ้าที่มีคุณบัติ Snagging Resistance สำหรับบุโซฟาเพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก อยู่ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์หรือโซฟาตัวโปรดของคุณได้ นิทัสเราแนะนำผ้า 2 ตัวนี้ 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI อ่านเนื้อหาว่าทำไมผ้าสองตัวนี้ถึงมีคุณสมบัติ และแนะนำสำหรับคุณเลี้ยงสัตว์ ได้ที่นี้


Snagging Resistance คืออะไร

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance)

ความทนทานต่อการขีดข่วน (Snagging Resistance) ผ้าต้องทนต่อการขีดข่วนจากเล็บหรือกรงเล็บของสัตว์เลี้ยง อ้างอิงการทดสอบมาตรฐาน BS 8479:2008 Textiles – Method for determination of propensity of fabrics to snagging – Rotating chamber method

BS 8479:2008 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบความต้านทานของผ้าต่อการเกิด “Snagging” (การเกี่ยวหรือการดึงผิวของผ้า) โดยใช้ “Rotating Chamber Method” หรือวิธีการทดสอบในห้องหมุน ซึ่งทดสอบผ้าโดยจำลองสถานการณ์ที่วัสดุมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเกี่ยวหรือการดึงผ้า

BS 8479:2008: มาตรฐานนี้เน้นการทดสอบความทนทานของผ้าต่อการขีดข่วนและการเสียดสี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาผ้าสำหรับสัตว์เลี้ยง หากผ้าผ่านมาตรฐานนี้จะหมายถึงผ้าสามารถทนต่อการเกี่ยวขีดข่วนได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผ้า Pet-Lover ของนิทัส

อ้างอิงการทดสอบกับการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยง

การทดสอบตามมาตรฐาน BS 8479:2008 สามารถอ้างอิงการเกี่ยวของเล็บสัตว์เลี้ยงได้ ในแง่ของการจำลองการเกี่ยวดึงผิวผ้า แต่ไม่ใช่การเลียนแบบการข่วนของเล็บโดยตรง เนื่องจากการทดสอบในห้องหมุนเน้นการสร้างแรงเสียดสีและแรงดึงในระดับทั่วไปเพื่อดูผลการเกี่ยวที่เกิดขึ้น

เล็บของสัตว์เลี้ยง เช่น แมวหรือสุนัข อาจสร้างแรงเฉพาะทางที่ต่างจากการทดสอบนี้ เนื่องจากเล็บสัตว์มีความแหลมคมและการข่วนมักมีความรุนแรงกว่าการเกี่ยวทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดเบื้องต้นของความทนทานต่อการข่วนหรือการเกี่ยวที่เกิดจากเล็บสัตว์ได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผ้าถูกสัมผัสซ้ำๆ กับแรงเสียดสี

หลักการทดสอบ

เครื่องมือที่ใช้: ผ้าจะถูกนำไปใส่ในห้องทดสอบหมุน (Rotating Chamber) ซึ่งมีปุ่มหรือสิ่งกีดขวางที่ทำหน้าที่เลียนแบบการเกี่ยวดึงบนพื้นผิวผ้า

วิธีการทดสอบ

  1. ตัวอย่างผ้าจะถูกใส่ลงในห้องหมุนที่มีอุปกรณ์ที่สามารถสร้างแรงดึงและการเกี่ยวบนผิวผ้า
  2. ห้องจะหมุนในอัตราความเร็วที่กำหนดและความถี่การหมุนตามมาตรฐาน ซึ่งผ้าจะถูกเสียดสีกับอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด
  3. หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผ้าจะถูกนำออกมาเพื่อตรวจสอบการเกิดการเกี่ยวและความเสียหายที่เกิดขึ้น
หน้าตาของเครื่องทดสอบ PILLING & SNAGGING TESTER
ภายในกล่องทดสอบทรงปริซึม 8 เหลี่ยม จะประกอบด้วยชิ้นผ้าตัวอย่างที่พับแกนทรงกระบอก และเหล็กแหลมวางเป็นแถวยาว ทั้งหมด 4 ด้านจากกล่องทดสอบ

หลักการทดสอบผ้าจะถูกนำไปใส่ในห้องทดสอบหมุน (Rotating Chamber) ภายในกล่องทดสอบ จะประกอบด้วยชิ้นผ้าตัวอย่างที่พับแกนทรงกระบอก และในกล่องทดสอบจะมีเหล็กแหลมทั้งหมด 20 เล็ม วางเป็นแถวยาว ทั้งหมด 4 ด้านจากกล่องทดสอบ ปริซึม 8 เหลี่ยม ซึ่งสิ่งนี้เป็นการทำหน้าที่เลียนแบบการเกี่ยวดึงบนพื้นผิวผ้า โดยการทดสอบจะหมุนในอัตรา 60 รอบ ต่อ นาที โดยหมุนทั้งหมด 2,000 รอบ หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผ้าจะถูกนำออกมาเพื่อตรวจสอบการเกิดการเกี่ยวและความเสียหายที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30054 MACHU PICCHU 

ตัวอย่างผลการทดสอบ ผ้ารหัส 30055 SERENGETI

เกณฑ์การให้คะแนน (Snagging Scale)

ตารางที่ 1 การจัดเกรด

Grade
เกรด
Description
คำอธิบาย
Appearance
ลักษณะที่ปรากฏ
5None
ไม่มี
No snags or other surface defects
ไม่เกิดการเกี่ยว หรือไม่พบข้อบกพร่องของพื้นผิวเลย
4Slight
เล็กน้อย
Snags or other surface defects in isolated areas
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้าขึ้นเล็กน้อย หรือมีข้อบกพร่องของพื้นผิวขึ้นเล็กน้อย
3Moderate
ปานกลาง
Snags or other surface defects partially covering the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือพบข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่บางส่วน
2Distinct
เด่นชัด
Snags or other surface defects covering a large proportion of the surface
เกิดการเกี่ยวบนผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่
1Severe
รุนแรง
Snags or other surface defects covering the entire surface
เกิดการเกี่ยวผิวผ้า หรือข้อบกพร่องของพื้นผิว ครอบคลุมทั้งหมด

ในการทดสอบ ถ้าได้เกรด 5 แปลว่าไม่มีการเกี่ยวของพิ้นผิวเลย แต่ถ้าผลทดสอบได้เกรดต่ำกว่านั้น ต้องมาเปรียบเทียบลักษณะการเกี่ยวตามตารางข้างล่างนี้

ตารางที่ 2 การจำแนกข้อบกพร่องของพื้นผิว

ประเภทข้อบกพร่องDefect description
คำอธิบายข้อบกพร่อง
ASnagging “สแนก-กิ้ง”
เกิดการเกี่ยว เป็นลักษณะห่วงของเส้นใยบนพื้นผิว
BProtrusions  “โพร-ทรู-ชันส์
เกิดการเกี่ยวโดยมีเส้นด้สยหรือเส้นใยยื่นออกมาบนผิวผ้าอย่างเด่นชัด
CIndentations  “อิน-เดน-เท-ชันส์”
เกิดการเกี่ยวทำให้ลักษณะผิวผ้าเป็นรู และทำให้ผิวมีการบิดเบี้ยว
DShiners, pulled threads or other distortions of the fabric structure, occurring in close proximity to snag loops and/or not associated with any snag loop
เกิดการเกี่ยวที่ทำเส้นด้ายถูกดึง สร้างความบิดเบี้ยวให้เห็นตลอดแนวโครงสร้างผ้า
EVisible defects due to colour contrasts in printed fabrics, colour woven, or colour knitted fabrics.
พบข้อบกพร่องในความแตกต่างของสีผ้า ที่มองเห็นได้ ในผ้าพิมพ์, ผ้าทอและผ้าถักที่มีสีสัน
FFilamentation  “ฟิ-ลา-เมน-เท-ชัน”
เกิดการเกี่ยวเส้นใยอย่างรุนแรงจนทำให้เส้นใยขาด ขึ้นแป็นขนบนพื้นผิวผ้า
GAny other defects specific to the fabric type and which detract from the original surface appearance. A description shall be included in the test report
เกิดข้อบกพร่องอื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจง ของแต่ละประเภทของผ้า และที่ทำให้สูญเสียลักษณะผิวเดิม รายละเอียดควรถูกรวมไว้ในรายงานการทดสอบ
Xไม่มีข้อบกพร่องของพื้นผิวที่มองเห็นได้

แปลผลการทดสอบที่ได้ ตามมาตรฐาน BS 8479:2008 

  • ตัวอย่างทดสอบ Warp (ด้ายยืน) และ Weft (ด้ายพุ่ง) หลังจากหมุน 2000 รอบ
    • Warp 1 และ Warp 2: คะแนน 4-5, Defect Type = A (Snagging), จำนวนการเกิด Snags: 1-2
    • Weft 1 และ Weft 2: คะแนน 4-5, Defect Type = A, จำนวน Snags: 4-5
    • ค่าเฉลี่ยรวม: Mean of Four Specimens = 4-5

Defect Type = A แปลว่าเกิดการดึงด้ายหรือการเกิดรอย (Snagging) บนผิวผ้า

แปลผลค่าคะแนน (Grading System)

  • Grade 5: ไม่มีรอยดึง หรือข้อบกพร่องใดๆ
  • Grade 4: รอยดึงหรือข้อบกพร่องเกิดขึ้นเฉพาะจุดเล็กๆ บนพื้นผ้า

ดังนั้น การให้คะแนน 4-5 หมายความว่า ตัวอย่างผ้ามีคุณภาพดีมาก มีเพียง ข้อบกพร่องเล็กน้อย หรืออาจไม่มีเลยในบางส่วน

การวิเคราะห์ผล

  • Warp (แนวยืน): คะแนน 4-5 และจำนวน Snags ต่ำมาก (1-2 จุด) แสดงให้เห็นว่าผ้ามีความต้านทานต่อการเกิด Snagging ได้ดีในทิศทางนี้
  • Weft (แนวนอน): คะแนน 4-5 แต่จำนวน Snags สูงกว่า (4-5 จุด) แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มเกิดการดึงด้ายมากกว่าในแนวนอน
  • Mean Grade: ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ซึ่งถือว่าผ้าทดสอบผ่านเกณฑ์ในระดับคุณภาพดีเยี่ยม

สรุปผลการทดสอบ

ผ้าทั้งสองตัว 30054 MACHU PICCHU, 30055 SERENGETI

  • Grade 4-5: สะท้อนว่าผ้าผ่านมาตรฐานและมีคุณภาพดี
  • Defect Type A: ระบุข้อบกพร่องที่เกิดจากการดึงด้าย (Snagging) ซึ่งเป็นลักษณะปกติในการทดสอบชนิดนี้

สามารถดูเล่มตัวอย่างได้ที่ https://www.nitas-tessile.com/meawww-collection/


ตัวอย่างวีดีโอของแล็บการทดสอบของต่างประเทศที่ทดสอบ มาตรฐาน BS 8479:2008