fbpx

ผ้าสีเพี้ยน!!! โทษใครดี

ผ้าสีเพี้ยน!!! โทษใครดี “จะโทษดินจะโทษน้ำ จะโทษเดือนและดาว กับเรื่องราวที่ปวดร้าว ที่เธอมาทำแล้วหนีไป” ก่อนที่เราจะมาโทษใครดีเรามาดูกันดีกว่าว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่เวลาเราเห็นสีผ้าเพี้ยนแตกต่างออกไป หรือเมื่อเราติดผ้าม่านที่บ้านเสร็จแล้ว ปรากฎว่าสีมันไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ เรามาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้เรา เห็นสีผ้าเพี้ยนไปจากความเป็นจริงมีอะไรบ้าง

  • สีเพี้ยนจากการดูสีผ้าผ่านหน้าจอ เช่น อุปกรณ์ถ่ายรูป, การดูสีผ้าผ่านจอมือถือ
  • สีเพี้ยนจากการมองเห็นสีผ้าจริง เช่น การมองเห็นในบรรยากาศแสงที่ต่างกัน, มุมมอง และ ระยะการมอง, ขนาดของชิ้นผ้า, ใส่แว่นที่มีแลนส์แบบพิเศษ
  • สีเพี้ยนจากตัวผ้าเอง เช่น ชนิดของเส้นด้าย, ชนิดของผ้า, ผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติ, ผ้าต่างรอบการผลิต, การซีดจางจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน, การซีดจางจากการซัก
  1. การดูสีผ้าผ่านหน้าจอ ในปัจจุบันการเลือกซื้อของ ต่างมาอยู่ในระบบออนไลน์โดยส่วนใหญ่ ซึ่งธุรกิจการขายผ้าก็เข้ามาอยู่ในระบบนี้เช่นกัน แต่ด้วยเรื่องของสีผ้าก็เป็นปัญหาที่ตามมาด้วยเช่นกัน เพราะด้วยเหตุนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยที่ทำให้สีเพี๊ยนเวลาเราดูตัวอย่างผ้า ผ่านการดูผ่านหน้าจอแสดงผลต่างๆ มีอะไรบ้าง
    • อุปกรณ์นำเข้ารูป เมื่อพูดถึงอุปกรณ์ในการเก็บรูปภาพในการทำตัวอย่างเพื่อนำเสนอนั้น ก็จะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกันคือ การถ่ายรูป และ การใช้เครื่องสแกน ทั้งสองอย่างนี้มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันคือ
      • การถ่ายรูป เป็นที่นิยมสูง เห็นภาพได้ค่อนข้างเหมือนจริง สามารถถ่ายผืนใหญ่เท่าไหร่ก็ได้ ข้อเสียคือมีความเพี้ยนของสีสูง ประกอบด้วยหลายปัจจัยมาก เช่น ถ่ายแสงจากธรรมชาติ หรือถ่ายแสงจากหลอดไฟซึ่งก็มีหลากหลายชนิด, มุมการถ่าย, ชนิดกล้องที่ถ่ายไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป หรือกล้องมือถือที่หลากหลายยี่ห้อมาก เป็นต้น และที่สำคัญเราไม่สามารถจับสัดส่วนภาพจริงได้ว่า ลายผ้าที่ถ่ายนี้ มีขนาดจริงเท่าไหร่
      • การสแกนผ้า เป็นที่นิยมในการทำตัวอย่างผ้าแบบสมัยใหม่ เพราะสามารถเห็นดีเทลของเนื้อผ้าชัดเจน สามารถเทียบสัดส่วนของลายผ้าได้จริง มีความเท่ากันของแสงทั่วทั้งผืน ข้อเสียคือ ไม่สามารถสแกนผ้าชิ้นใหญ่ได้เต็มหน้าผ้า ซึ่งปกติหน้าเครื่องจะมีอยู่ประมาณขนาด A4 เท่านั้น และปัญหาอีกอย่างคือ ถ้าผ้านั้นเป็นแบบที่มีการทอพิเศษ เช่น ผ้ากำมะหยี่ Velvet ที่เป็นลักษณะเป็นขนๆ เล็กๆ เวลาสแกนก็จะเกินความเพี้ยนสูง หรือผ้าที่มีลักษณะของเส้นด้ายมันเงา ในการสแกนก็จะไม่เห็นมิติของความเงาเท่ากับการถ่ายรูปจริงในลักษณะผ้าที่มีการเข้าลอน ที่จะเห็นความเงาของเนื้อผ้าได้อย่างชัดเจน
  • จอแสดงผล แน่นนอนว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการดูในมือถือ และการดูในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีปัจจัยทั้ง รูปแบบของชนิดจอ LED, OLED ฯลฯ และยี้ห้อของจอชนิดนั้นๆ เช่น หน้าจอของมือถือยี่ห้อหนึ่งเทียบกับมือถืออีกยี่ห้อหนึ่ง ในการเปิดรูปเดียวกันก็จะแสดงรูปสีสันที่ไม่เท่ากัน 100% ขึ้นอยู่กับ อุปกรณ์, ซอฟแวร์ และระบบการประมวนผลของยี้ห้อนั้นๆ ด้วย เช่นบางยี่ห้ออาจดูติดเหลือง หรือติดแดง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดอันที่ถกเถียงกันอย่างมาก คือโดยปกติแล้วมือถือหลายคนชอบปรับระดับความสว่างต่ำๆในการใช้งานปกตินั้นอาจไม่ส่งผลอะไรมาก แต่การดูสีผ้านั้นจำเป็นต้องปรับให้ความสว่างสูงสุด เพื่อความถูกต้องในการเห็นสี เพราะสามารถ เกิดขึ้นได้ว่าผ้าที่เห็นนั้นเป็นสีขาว หรือสีเทาอ่อนกันแน่ การปรับความสว่างหน้าจอที่ไม่เพียงพอจะทำให้การตัดสินใจพลาดได้

2. การมองเห็นสีผ้าจริง แม้ว่าเราจะเห็นตัวอย่างผ้าของจริงแล้วก็ตาม แต่ความเพี้ยนของสีผ้าก็ยังสามารถเกินขึ้นอีกหลายปัจจัยดังนี้

  • การมองเห็นในบรรยากาศแสงที่ต่างกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตุ หรือไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะการที่เราเลือกผ้าจากตัวอย่างที่เห็น โดยเลือกผ่านบรรยากาศไฟที่ต่างกันสีผ้าก็จะต่างกันด้วย เช่น เราเข้าไปที่ร้านผ้าม่านเลือกตัวอย่างผ้าที่เห็นโดยร้านม่านนั้น ติดไฟวอร์มไวท์ หรือไฟที่ออกสีเหลืองนั้นเอง โดยเราเลือกผ้าในบรรยากาศแสงนั้น และสรุปได้ผ้าที่ต้องการสีเป็นสีน้ำตาลเทาๆ แต่ปรากฎว่านำมาติดตั้งที่บ้านเป็นสีเทา เนื่องจากห้องที่ติดเป็นหลอดไฟแบบเดย์ไลท์ สามารถอ่านข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติม
  • มุมมอง และระยะการมองผ้า ผ้าเป็นวัสดุที่มีมิติการมองเห็นที่เมื่อเรามองต่างมุมกันออกไป ก็จะส่งผลให้เห็นลักษณะความเข้มอ่อน ความเงาด้าน หรือการปรากฎลวดลายที่ชัดเจน หรือหายไปกับระยะการมองได้เช่นกัน เช่น การตัดสินใจซื้อผ้าจากตัวอย่างผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งมองห่างจากระยะสายตา ไม่เกิน 1 เมตร แต่เมื่อเราติดตั้งผ้าม่านนั้นจริง ซึ่งระยะ การมองเห็นผ้าม่านในระยะใช้งานจริง มากกว่า 2 เมตร ซึ่งลักษณะของเท็กเจอร์ที่ปรากฎในการมองระยะใกล้ ก็อาจกลายเป็นอีกลักษณะหนึ่ง หรือหายไป เป็นเพียงลายเรียบๆ ก็เป็นได้
  • ขนาดของชิ้นผ้า ปกติเมื่อเราเลือกผ้าจากเล่มตัวอย่าง ชิ้นเล็กๆ กับผ้าม่านจริงเราจะรู้สึกว่าผ้านั้นสีเข้มกว่า หรือ สดกว่าที่เราจำได้ว่าเลือกตอนอยู่ที่ร้านผ้าม่าน เป็นเพราะสายตาของเราตอนเลือกผ้าจากเล่ม มีสีอื่นๆ มากวนสายตาด้วย และส่วนใหญ่ผ้าจะติดอยู่กับกระดาษสีขาว ซึ่งตัวกระดาษสีขาวนี้เอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรบกวนการมองเห็นเช่นกัน ตัวอย่างรูปด้านล่าง
    • รูป A สี่เหลี่ยมสีเทาตรงกลาง เมื่อเทียบกับสีเทาอ่อนทางซ้ายมือ ก็จะเห็นเป็นสีเทานั้นเข้มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับสีเทาด้านขวามือ ก็จะดูเป็นสีเทาอ่อนลง
    • รูป B สี่เหลี่ยมสีแดงตรงกลาง เมื่อเทียบสีแดงทางซ้ายมือ ก็จะดูสีแดงนั้นสดเข้มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับรูปสีแดงด้านขวา ก็จะเห็นเป็นสีแดงซีดจางลงนั้นเอง
  • ใส่แว่นที่มีเลนส์แบบพิเศษ อาจเป็นปัญหาของการสื่อสารกันระหว่างบุคคลที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดย ไม่ทันคิดมาก่อน ปกติคนที่สายตาสั้นหรือยาว ใส่แว่นเลนส์แบบ ธรรมดา ย่อบาง และมัลติโค้ตตัดแสงสะท้อนทั่วไป ก็ไม่เป็นปัญหาในการมองเห็น แต่มีเลนส์ชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมสูงในปัจจุบันคือเลนส์แบบ มัลติโค้ตตัดแสงสีฟ้า, บลูคัท หรือ บลูบล็อก แล้วแต่ชื่อทางการค้าจะเรียก ซึ่งเป็นเลนส์ฮอตฮิตกับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์มากๆ หรือแม้กระทั่งคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ด้วยคุณสมบัติของ การตัดแสงสีฟ้า ที่เชื่อว่า แสงสีฟ้านั้นเป็นอันตรายต่อสายตา ซึ่งด้วยคุณสมบัตินั้นเอง จึงทำให้คนที่ใส่แว่นชนิดตัดแสงสีฟ้า มองเห็นทุกอย่างโดยตัดแสงสีฟ้าออกไปส่วนหนึ่ง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกอย่างที่มองเห็น จะมีความอมเหลืองเล็กน้อย โดยถ้าเราใช้ชีวิตประจำวัน ทำงาน ขับรถ เล่นเกมส์ การตัดแสงสีฟ้านี้จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อการใช้ชีวิตปกติ แต่เมื่อเราต้องการเลือกผ้า เลือกสีทาบ้าน หรือสื่อสารด้านสีกับบุคคลอื่นจะเกิดความเพี้ยนขึ้นอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือ เมื่อคนใส่แว่นแบบตัดแสงสีฟ้า มองกระดาษ A4 สีขาว ก็จะเห็นสีเป็นสีขาวนวลๆ มาทางสีครีมนิดๆ แต่เมื่อคุณถอดแว่นโดยมองด้วยตาเปล่าสีขาวที่คุณเห็น ก็จะไม่อมเหลือง เป็นสีขาวปกติทั่วไป นั้นเอง ฉะนั้น ถ้าต้องการเห็นสีที่แท้จริงในการเลือกสี แล้วสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ เราไม่ควรใส่แว่นที่มีการตัดแสงสีฟ้า เพราะบุคคลอื่นๆ นั้นจะมองเห็นสีที่ไม่เหมือนกันกับคุณ แต่ทว่า ถ้าคุณเป็นคนเลือกเองใช้เอง มองเอง โดยใช้แว่นเลนส์ตัดแสงฟ้านี้ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถใส่เลือกผ้านั้นได้เลย ดังภาพตัวอย่างด้านล่าง

3. จากตัวผ้าเอง สุดท้ายแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คือการสีเพี้ยนจากกระบวนการผลิตเอง เรามาดูกันดีกว่าว่ามาปัจจัยอะไรบ้าง

  • ชนิดของเส้นด้าย มีผลต่อการมองเห็นสีที่เพี้ยน จะเห็นได้ว่าในเส้นใยธรรมชาติส่วนใหญ่มีผิวที่ไม่เรียบมีเท็กเจอร์ มีผลทำให้การสะท้อนแสงของเส้นใยแตกต่างกัน เช่นตัวอย่างเส้นใยของผ้าฝ้ายที่เป็นลักษณะหน้าตัดแบบเมล็ดถั่วและมีความบิดเป็นเกลียว เมื่อนำทอเป็นผืนผ้า ก็จะมีลักษณะผิวโดยรวมดูด้าน ไม่เงา ไม่ส่งผลต่อการเพี้ยนในการมองเห็นมากนัก ผิดกับผ้าที่มาจากเส้นใยไหม ที่หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งสามารถสะท้อนแสงได้ดี รวมไปถึงเส้นใยสังเคราะห์ อย่างโพลีเอสเตอร์ซึ่งเป็นเส้นใยประดิษฐ์ ที่มีลักษณะการฉีดออกมาเป็นเส้น มีผิวเรียบทรงกระบอก ก็สามารถสะท้อนแสงได้มาก เช่นกัน เมื่อเรานำเส้นใยเหล่านี้มาทอเป็นผ้าผืน จะทำให้มีความเงาขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความเงานี้ส่งผลทำให้เราสามารถเห็นผ้าสีแดงตามรูปด้านล่างนี้มีน้ำหนักของสี ที่ทั้งสว่างขึ้นเมื่อกระทบแสง และมืดลงเมื่อไม่ได้รับแสง เกิดเป็นมิติแสงเงาที่มากกว่าผ้าที่เป็นเนื้อฝ้ายโดยทั่วไป ฉะนั้นในการเลือกผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟา เราควรเห็นเนื้อผ้าจริง และลองจับผืนผ้าให้เกิดลอน เพื่อให้เห็นมิติของแสงเงาที่เกิดจากผ้านั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง
  • ชนิดของผ้า ในผ้าเนื้อกำมะหยี่ หรือ Velvet เป็นผ้าที่มีการทอแบบพิเศษ ซึ่งด้วยการทอแบบพิเศษนี้เองทำให้เกิดความเพี้ยนสีเกิดขึ้น ยกตัวอย่างผ้ากำมะหยี่สีแดง เมื่อเรามองจากมุมหนึ่งจะเห็นเป็นสีแดงปกติ แต่เมื่อเราเปลี่ยนมุมในการมอง เราก็อาจมองเห็นสีแดงนั้นเข้มขึ้นอย่างมากในมุมที่ต่างออกไป เพราะเนื้อผ้าชนิดนี้ มีการทอที่มีเส้นขนของผ้าที่ตั้งขึ้น ซึ่งทำให้มีมุมมองของผ้าบางส่วนเห็น ในส่วนของขนผ้าที่ตั้งขึ้น และบางส่วนล้มลง ฉะนั้นผ้ากำมะหยี่นี้ จึงเป็นผ้าที่มีมิติ ในการมองเห็นที่ไม่เท่ากันอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟา เนื้อกำมะหยี่กับผู้อื่น ซึ่งยืนมองผ้าผืนเดียวกัน ในภาวะแสงเดียวกัน แต่ยืนมองคนละมุม ซึ่งสามารถเกิดความเข้าใจผิดว่า ผ้าผืนสีแดงนี้สีแดงเข้มเกินไป แต่ในขณะที่เราเห็นว่าสีแดงนี้พอดีแล้ว
  • ผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติ ทั้งฝ้าย ลินิน ขนสัตว์ ไหม ซึ่งวัสดุธรรมชาติที่นิยมนำมาทอผ้าม่านโดยส่วนใหญ่ คือ Cotton หรือฝ้าย, ลินิน ซึ่งเป็นเส้นใยจากพืช (Cellulose) ซึ่งแน่นอนว่า ภูมิประเทศ สภาพอากาศ, ฤดูการเก็บเกี่ยว, กระบวนการผลิตจากไร่ สู่การผลิตจากเส้นใยไปถึงเส้นด้าย ที่ต่างกันก็ส่งผลต่อการย้อมติดสีของผืนผ้านั้นๆ ซึ่งมีโอกาสที่ไม่เท่ากัน 100% อย่างแน่นอน
  • ผ้าต่างรอบการผลิต เป็นเรื่องปกติว่าการย้อมสี ถึงแม้จะในระดับโรงงานก็ตาม การเพื้ยนของสีก็สามารถเกิดขึ้นได้ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิการย้อม คุณภาพน้ำ ปริมาณน้ำต่อสีย้อม ปริมาณน้ำต่อน้ำหนักผ้า ในโรงงานระดับคุณภาพจะควบคุมปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ได้ แต่ก็ให้ค่าความเพี้ยนได้ไม่เกิน 5% ถือว่ารับได้
  • ผ้าที่ดูแดดเลีย หรือผ้าที่ซีดจางจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน Colorfastness of sunlight เป็นปกติของผ้าทั่วไปที่ใช้ในที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ก็มีการซีดจางของสีเป็นปกติ ถ้าเราเป็นไปโดนแสงแดดโดยตรง โดยประมาณ 3-6 เดือนก็จะเริ่มเห็นผลเมื่อนำไปเทียบกับบริเวณที่ไม่โดดแสงแดด แต่ก็จะมีผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะในการใช้กลางแจง หรือเอาท์ดอร์ ผ้าเกรดเอาท์ดอร์ดังกล่าวจะมีความสามารถในการทนก็การซีดจางของสีได้ดีกว่าผ้าทั่วไป
  • ผ้าที่ผ่านการซัก หรือผ้าที่ซีดจางจากการซัก Colorfastness of washing การซักนับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ว่า จะทำให้สีผ้าซีดจางลง ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะการใช้สารฟอกขาว รวมในการซักก็จะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการซีดของของสีเพิ่มากขึ้น

จากบทความด้านบน คงเห็นกันแล้วว่ามีหลายปัจจัยมาก ที่ส่งผลให้ผ้าสีเพี้ยน เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกผ้าสีนั้นๆ ที่คุณโปรดปราน อย่าลืมคิดถึงปัจจัยต่างๆ ที่เราฝากไว้ด้วยนะจ๊ะ ด้วยรัก

รู้งบประมาณเพิ่มเติม++ ก่อนจะซื้อคอนโด

การที่เราจะมีคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเองสักหลังนั้น ไม่ใช่แค่ซื้อห้องมาแล้วก็จะจบนะคะ เราต้องมีการเผื่องบประมาณในการตกแต่งห้องด้วย ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับของที่ทางโครงการให้มาและความต้องการของเรานั่นเองค่ะ ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าการที่จะแต่งห้อง 1 ห้องนอนให้ครบทุกอย่างในงบที่ไม่บานปลายนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง ไปชมกันเลย

วันนี้เรามาลองคำนวนงบประมาณกันดีกว่าว่า ถ้าเราจะซื้อคอนโด ต้องเตรียมงบประมาณเท่าไหร่ในส่วนต่างๆ เช่น ผ้าม่านจะอยู่ประมาณ 0.85%-1.2% ของราคาคอนโด เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวประมาณ 7.5% แต่หากเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินก็จะสูงกว่านี้ถึงประมาณ 10%-15% และเครื่องใช้ไฟฟ้า 5.5% ค่าตกแต่งอื่นๆ 0.7-2.1% -ขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งของแต่ละบุคคล เรามาคำนวนกันดีกว่าว่าสัดส่วนนั้นจะเป็นเท่าไหร่ โดยใส่ตัวเลขราคาคอนโดของเราในช่องด้านล่างได้เลย

ม่าน VS แอร์

คุณเคยเจอปัญหาแบบนี้ไหม.. เวลาจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศ และติดตั้งผ้าม่าน แต่เราวางแผนไม่ดี ช่างแอร์เข้าติดตั้งก่อน โดยลืมไปว่า ต้องมีการติดตั้งผ้าม่าน ในตำแหน่งนั้นร่วมด้วย
วันนี้เรามีดูตำแหน่งที่ถูกต้อง และการวางแผนที่ดีสำหรับการติดม่านและแอร์กันดีกว่า

สำหรับความสูงเพดานห้อง หรือบ้านโดยทั่วไป มักจะสูงอยู่ที่ 240-260 ซม. และความสูงของขอบบนหน้าต่างรวมวงกบจะอยู่ราว 205 ซม. ซึ่งเมื่อเราติดตั้งเครื่องปรับอากาศเหนือวงกบหน้าแล้วนั้น จะไม่เหลือที่พอสำหรับการติดตั้งรางม่าน และตัวผ้าม่าน โดยปกติแล้วเราจะติดตั้งรางม่านเหนือวงกบหน้าต่างขึ้นไปราวๆ 15-20 ซม กรณีนี้จะทำให้ ต้องติดตั้ง อยู่ระดับกับวงกบหน้าต่าง ซึ่งทำมี ผลเสียคือ

  • ดูไม่สวยงาม ไม่ลงตัว
  • ไม่สามารถควบคุมแสงได้อย่างที่ต้องการ เพราะเมื่อเราปิดม่านแล้วก็ยังมีแสงส่วนหนึ่งรอดผ่านมาทางด้านบนอยู่ดี
  • เมื่อเราเปิดเครื่องปรับอากาศ แรงของลมที่ส่งออกมาจะกระทบกับผ้าม่าน ทำให้ผ้าเคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความน่ารำคาญ
  • ความชื้นที่มาจากลมของเครื่องปรับอากาศเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผ้าม่านมีความชื้นสะสม ซึ่งก็ให้เกิดเชื้อราขึ้นได้

เช่นเดียวกับความสูงของหน้าต่าง ความสูงของบานประตูมาตรฐานจะอยู่ที่ 200 ซม. เมื่อรวมวงกบจะอยู่ราว 205 ซม. ซึ่งเมื่อเราติดตั้งเครื่องปรับอากาศเหนือวงกบหน้าแล้วนั้น จะไม่เหลือที่พอสำหรับการติดตั้งรางม่าน และส่งผลเสียก็เหมือนกันกับที่กล่าวมาข้างต้น

โครงการบ้านจัดสรร หรือทาวน์โฮมต่างๆ ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะเป็นประตูกระจกบานสไลด์เต็มผนัง มักเป็นจุดแรกๆ ที่คนส่วนใหญ่ชอบที่จะติดต้องเครื่องปรับอากาศบนวงกบประตูนี้ แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อเราติดเครื่องปรับอากาศตำแหน่งนั้นแล้วจะไม่สามารถติดผ้าม่านได้ ยิ่งตำแหน่งดังกล่าวคือ ประตูหน้าบ้านที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ผ้าม่านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราควรวางแผนให้ดีก่อนการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ทางที่ดีที่สุดคือย้ายเครื่องปรับอากาศไปติดผนังอีกด้านหนึ่ง และมีเคล็ดลับดีๆ มานำเสนอสำหรับการติดม่านในพื้นที่ใหญ่ๆ อย่างประตูหน้าบ้านแบบนี้ควรมีกล่องบังรางเพื่อความสวยงาม ทำให้มองไม่เป็นรางม่าน หรือแม้กระทั่งที่เราสามารถวางแผนจัดการในด้านโครงสร้างการตกแต่งตั้งแต่แรกๆ สำหรับบ้านที่สร้างเอง คือการลดระดับฝ่าทั้งห้องลงมา โดยเว้นช่องตำแหน่งที่จะติดรางม่านไว้ ก็จะเพิ่มความสวยงามอย่างมาก และสามารถเพิ่มลูกเล่นโดยใส่ไฟตามช่องดังกล่าวได้อีกด้วย ช่วยเสริมบรรยากาศที่ดี ซึ่งเทคนิคนี้นิยมใช้อย่างมากในโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และหมู่บ้านราคาสูงๆ ซึ่งรับรองได้ว่าห้องคุณจะดูดีมีระดับขึ้นมากเลยทีเดียว

เมื่อทุกอย่างลงตัว เจ้าของบ้านอย่างเราก็จะไม่ปวดหัวกับการที่เราวางแผนการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ และผ้าม่านไม่ดีตั้งแต่แรก และที่สำคัญผ้าม่านเป็นส่วนหนึ่งในการกันแสง และความร้อนเข้ามาในห้องได้ด้วย ซึ่งส่งผลดีกับการช่วยลดพลังงานให้กับเครื่องปรับอากาศโดยที่ไม่ต้องทำงานหนัก เพื่อรักษาระดับอุณภูมิห้องให้ได้ตามระดับที่ตั้งไว้ โดยปกติแล้ว แหล่งความร้อนหลักๆ คือคนที่อาศัยอยู่ในห้อง และแสงความร้อนจากแสงแดด ฉะนั้นการที่เราเลือกใช้ม่านได้อย่างถูกต้อง เช่น ผ้าม่านกันแสง (Dim-out) ซึ่งมีความสามารถในการกันแสงได้ถึง 85% หรือผ้าม่านทึบแสง (Blackout) ซึ่งกันแสงได้ถึง 100% ก็จะช่วยลดพลังงาน แะละส่งผลให้ลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายอีกด้วย

บทความที่เกี่ยงข้อง

MI CASA Collection

Mi Casa (มิ คาซ่า): Upholstery Collection

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ %E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2_%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%9A.png
รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ Please-check-01.png

MA MAISON Collection

Ma Maison (มา เมซอง): Upholstery Collection


MON MANOIR Collection

Mon Manoir (มง มานัว) Upholstery Collection


นอนหลับยาก ผ้าม่านช่วยได้

“น้องนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย..” ถ้าให้พูดถึงอาการนอนไม่หลับ คงเป็นปัญหาสำหรับคนยุคใหม่ ที่ต้องต่อสู้กับภาวะความเครียดในชีวิต วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าปัจจัยที่ทำให้เรานอนไม่หลับนั้นมีอะไรบ้าง และการเปลี่ยนผ้าม่านในห้องนอนนั้นจะสามารถช่วยได้มากน้อยเพียงใด

ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกับการนอนไม่หลับ

  1. บรรยากาศ เช่น แสงสว่าง และความสงบ
  2. ภาวะภายในจิตใจ ความตื่นตัว การกระตุ้น ภาวะความเครียด กังวล เป็นต้น
  3. ภาวะทางด้านร่างกาย เช่น ความเจ็บป่วยทางร่างกาย หรือแม้กระทั่งการทานอิ่มมากไป หรือหิวมากไปก็ตาม
  4. การได้รับสารเคมีอื่นๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เช่น แอลกอฮอล์ คาเฟอีนในกาแฟ หรือยาบางอย่าง ฯลฯ
  5. ช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงในการนอน เช่น การเปลี่ยนเวลานอนจากการเดินทางข้ามโซนเวลา การเปลี่ยนเวลานอนจากการทำงานเป็นช่วงๆ ที่ไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้นคือ แสงสว่าง แสงเป็นตัวกระตุ้น อารมณ์ ความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งพื้นฐานอยู่แล้ว ฉะนั้น การเลือกผ้าม่าน ที่มีคุณลักษณะสามารถกันแสง อย่างผ้าม่านกันแสง Dim-Out ที่กันแสงได้ประมาณ 85% หรือจะเป็นผ้าม่านทึบแสง Blackout ที่สามารถกันแสงได้ 100% ก็ตาม จะช่วยให้ห้องมีความมืดสนิท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนอนยาวๆ เช่น ม่านในโรงแรม หรือคนที่ทำงานไม่เป็นเวลา สลับช่วงเวลานอน เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ เราไม่ควรปิดผ้าม่านทึบมืดสนิทตลอดเวลา มันจะเป็นการรบกวนระบบ กลไก ตามปกติของมนุษย์ที่จะรับรู้การตื่นตามแสงสว่าง เป็นนาฬิกาธรรมชาติของมนุษย์ที่จะตื่นยามพระอาทิตย์ขึ้น และนอนในช่วงพระอาทิตย์ตก และผู้ที่หลับยากในเวลากลางคืนก็ไม่ควรนอนกลางวัน เพราะจะเป็นการรบกวนระบบนาฬิกาชีวิตดังกล่าว

อีกอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับการนอน เราไม่ควรเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังเป็นการกระตุ้นสมองให้คิด ตลอดเวลาอีกด้วย ลองหากิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคทำดู เช่น การอ่านหนังสือ และการที่เราทำอะไรซ้ำๆ ก่อนการนอนเป็นประจำๆ สมองจะเกิดกลไกจดจำ และที่จะเรียนรู้ว่า เมื่อเราทำสิ่งนี้ และขั้นต่อไปคือการนอน สมองจะเริ่มจดจำขั้นตอนดังกล่าวไว้ ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าคนจำนวนมาก เมื่ออ่านหนังสือก่อนนอนเป็นประจำ จนเคยชิน และเมื่อเราถึงเวลานอน หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเมื่อใด จะสังเกตุว่า ไม่เคยได้อ่านจบตามที่ตั้งใจไว้เลย จะหลับไปก่อนโดยไม่รู้ตัวเสมอๆ

ขอให้ทุกท่านหลับไม่ฝัน (หลับสนิท) ตลอดคืนนะครับ ^ .^

สามารถเข้าชมผ้าม่านกันแสง (Dim-out) และ ผ้าม่านทึบแสง (Blackout) ได้ที่นี้