fbpx

ได้คืบจะเอาศอก มันยาวแค่ไหนเหรอหน่อยวัดความยาวแบบไทยๆ

  • คืบ เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการเหยียดมือออกลงบนพื้นราบอย่างเต็มที่ หนึ่งคืบวัดจากปลายนิ้วโป้ง ไปถึงนิ้วนางหรือนิ้วก้อย แต่เนื่องจากระยะคืบของแต่ละคนไม่เท่ากัน
  • ศอก เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการวางแขนท่อนล่างลงบนพื้นราบ หนึ่งศอกวัดจากปลายนิ้วกลางไปจนถึงปลายข้อศอก แต่เนื่องจากระยะศอกของแต่ละคนไม่เท่ากัน
  • วา เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีที่มาจากการกางแขนทั้งสองออกไปข้างลำตัวในแนวราบ หนึ่งวาวัดจากปลายนิ้วกลางของแขนข้างหนึ่ง (หรือนิ้วอื่นที่ยาวที่สุดสำหรับบางคน) ผ่านอกไปยังปลายนิ้วกลางของแขนอีกข้าง แต่เนื่องจากระยะวาของแต่ละคนไม่เท่ากัน 
    • *ในบันทึกของลาลูแบร์ระบุว่า 1 วา สั้นกว่าตัวร์ (toise) ประมาณ 1 ปูช (pouce) หรือประมาณ 1.9 เมตร ในบันทึกของบาทหลวงฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว นิยามว่า วา เท่ากับ ฟาทอม (fathom) หรือเท่ากับ 1.829 เมตร ส่วนในสนธิสัญญาเบาว์ริงได้ระบุว่าชาวอังกฤษและคนในบังคับจะเช่าที่ดินและซื้อบ้าน จะต้องตั้งห่างจากกำแพงพระนคร 200 เส้น คือ 4 ไมล์ เมื่อแปลงจากเส้นเป็นวา (100 เส้นเท่ากับ 2,000 วา) 1 วา จะเท่ากับ 1.6 เมตร ในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833 ระบุว่า 1 วา เท่ากับ 78 นิ้ว ในระบบอังกฤษหรืออเมริกัน หรือเท่ากับ 96 นิ้ว (หน่วยความยาวไทย) หรือเท่ากับ 1.981 เมตร
  • เส้น เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย กำหนดไว้ว่ามีความยาวเท่ากับ 20 วา แต่เนื่องจากหน่วยเส้นนี้วัดจากหน่วยวา และระยะวาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ระยะเส้นจึงอาจคลาดเคลื่อนไปได้มาก
  • โยชน์ เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีระยะเท่ากับ 400 เส้น แต่เนื่องจาก 1 เส้นถูกกำหนดให้เท่ากับ 40 เมตร

การเขียนตัวอักษรย่อ

  • คืบ ใช้อักษรย่อว่า ค.
  • ศอก ใช้อักษรย่อว่า ศ.
  • วา ใช้อักษรย่อว่า ว.
  • เส้น ใช้อักษรย่อว่า สน.
  • โยชน์ ใช้อักษรย่อว่า สน.

ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ จึงกำหนดโดยเทียบกับระบบหน่วยเมตริก (Metric Unit)

  • 1 นิ้ว (องคุลี) เท่ากับ 0.254 เมตร (2.54 เซนติเมตร)
  • 1 คืบ เท่ากับ 0.25 เมตร (25 เซนติเมตร)
  • 1 ศอก เท่ากับ 0.5 เมตร (50 เซนติเมตร)
  • 1 วา เท่ากับ 2 เมตร
  • 1 เส้น เท่ากับ 40 เมตร
  • 1 โยชน์ เท่ากับ 16,000 เมตร (16 กิโลเมตร)

มาตราวัดความยาวของไทยกำหนดให้

  • 12 นิ้ว เท่ากับ 1 คืบ
  • 2 คืบ เท่ากับ 1 ศอก
  • 4 ศอก เท่ากับ 1 วา
  • 20 วา เท่ากับ 1 เส้น
  • 400 เส้น เท่ากับ 1 โยชน์

ISTANBUL F Collection

Cruises: Outdoor Fabrics Collection


SLUMBER F Collection

 

SLUMBER Collection
แผ่นพับรวมผ้ากันแสง 100%


ม่านเปิดทางเดียวหรือม่านแยกกลางดี

แบบไหนที่นิทัสเราแนะนำ ไปดูกันเลย


A หน้าต่าง บานฟิกซ์


B หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 1


C หน้าต่างหรือประตู บานสไลด์ 2


D หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 1


E หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 2


F หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 2


Repeat คืออะไร และวัดยังไง

ว่าด้วยการออกแบบลวดลายนั้น โดยปกติ จะมีการออกแบบลวดลายอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. ลวยลายแบบไม่ต่อลาย (Individual Design) คือจะเป็นลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแบบเดี่ยวๆ แยกกัน หรือเป็นกลุ่มลายที่ไม่ต่อเนื่องกัน เมื่อนำมาต่อกันก็จะเป็นลักษณะ เป็นกลุ่มๆ ที่ซ้ำกันเหมือนเราปูกระเบื้องที่ลวดลายไม่ต่อเนื้องกัน

2. ลายแบบต่อเนื่องกัน (Repeat Pattern Design) เป็นลวดลายที่ออกแบบโดยเฉพาะให้มีความต่อเนื่อง เมื่อเรานำลายมาชนต่อกันแล้ว ทั้งซ้าย-ขวา, บน-ล่าง ลวดลายนั้นก็จะต่อเนื้องสม่ำเสมอกันทั้งหมด

ตัวอย่างลาย 1 Repeat
ที่อย่าลายที่ออกแบบมาให้ต่อเนื่องกัน

การสังเกตุ และวัดระยะของลายผ้า Repeat ทำได้อย่างไร? จริงๆ เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ โดยเราจะหาจุดสังเกตุจุดใดก็ได้ของลายผ้าที่เด่นชัด เช่นตามตัวอย่างรูปด้านล่าง เราจะเอาปลายก้านของช่อดอกนั้นเป็นตำแหน่งหลักในการวัดระยะ

สังเกตุจากจุดหลักตั้งต้น และมองหาจุดที่ลายผ้านั้นซ้ำกัน มองไปทิศทางซ้ายไปขวา คือค่าความกว้าง (Width) และในส่วนของแนวตั้ง (Height) จากจุดที่ลายผ้าซ้ำกัน เราก็จะได้ขนาดของ Repeat ผ้านั่นเอง


ความสำคัณของ Repeat คือ ในการตัดเย็บผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟาตัวใหญ่ ที่ต้องมีการต่อลายให้ลวดลายต่อเนื่องกัน ฉะนั้น การรู้ตัวเลขของระยะซ้ำของลายผ้านั้นก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้ในการคำนวนผ้าเพื่อให้ระยะการต่อลวดลายลงตัว

รูปตัวอย่าง การต่อผ้าของผ้าม่าน

ในกรณีผ้าม่านที่ไม่มีลวดลายหรือเป็นเพียงเท็กเจอร์เล็กๆ ในลายผ้านั้น ก็จะไม่มีปัญหาในลายผ้าแต่อย่างใด เพราะลายนั้นมันเล็กเกินกว่าจะสังเกตุได้ว่าไม่ต่อเนื่องกัน

ตัวอย่างลวดลายผ้าเมื่อกางออกมาจากม้วนผ้า
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยไม่ได้คำนวนเผื่อระยะ Repeat ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะไม่ต่อเนื่องกัน
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยรู้ระยะของ Repeat ผ้า ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะต่อเนื่องกันสวยงาม

ดรอปฝ้าซ่อนราง และกล่องบังราง ต้องเว้นระยะเท่าไหร่

หลายคนที่เคยแต่งบ้าน แล้วสังเกตุการติดตั้งม่าน แล้วทำไมรู้สึกว่า บ้านตัวอย่าง หรือบ้านเพื่อนที่เราไปเที่ยวหา ทำไมผ้าม่านนั้นดูสวยลงตัว เป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้ดี สิ่งที่สำคัญคือ การดรอปฝ้า  (Drop Ceiling) ซ่อนรางม่านและหัวม่านยังไงละ แต่สำหรับบางบ้านที่ไม่ได้วางแผนกับการดรอปฝ้าไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่อยากรื้อให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็มีวิธีการแก้ไขโดยการ เสริมกล่องบังราง (Curtain Cornice, Pelmet) แล้วทั้งสองอย่างนี้ เค้าเว้นระยะกันเท่าไหร่ ไปดูกันเลย

ตัวอย่างห้องที่มีการออกแบบในการดรอปฝ้า

สำหรับลูกค้าบ้าน ถ้าต้องการดรอปฝ้า ควรปรึกษาเรื่องแบบบ้าน ตั้งแต่แรกก่อนสร้างบ้าน เพราะต้องกำหนดระยะความสูงจากพื้นถึงฝ้าตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ได้กำหนดไว้ ในการปรับปรุงตกแต่งที่หลังอาจส่งผลให้ระดับฝ้าจะต่ำกว่าปกติ ทำให้รู้สึกอึดอัด งานส่วนนี้ ต้องปรึกษา และทำด้วยผู้รับเหมาตกแต่งบ้านที่เชี่ยวชาญ ร้านม่านโดยทั่วไปมักทำในส่วนนี้ไม่ได้ นะครับ


ตัวอย่างการแก้ปัญหาด้วยการเสริมกล่องม่านบังราง

สำหรับงานเสริมกล่องบังรางนั้น เป็นงานเสริม เพิ่มความสวยงานโดยไม่ได้ไปยุ่งกับระดับของตัวฝ้าเพดานเดิม สามารถบอกทางร้านม่านเลยตั้งแต่แรกว่าต้องการทำสิ่งนี้ด้วย เพื่อง่ายต่อการคำนวนและเข้าวัดพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และงานส่วนนี้ร้านม่านทั่วไปสามารถทำได้


โดยทั่วไปแล้วการตัดเย็บผ้าม่านสำหรับรางสไลด์ มักตัดเย็บกันในสองรูปแบบ 1. แบบคลาสสิกคือ ม่านสามจีบ 2. แบบโมเดิร์น คือแบบลอน S ซึ่งรูปแบบการตัดเย็บทั้งสองแบบมีผลกับการเว้นระยะห่างอย่างยิ่ง เพราะม่านสามจีบมีการเก็บช่วงลอนของม่านเป็นในรูปแบบจีบแล้ว ซึ่งจะทำให้กินระยะน้อยว่าม่านลอน S ที่มีช่วงลอนโค้งกินไปทางหน้าและหลังที่เท่าๆ กัน

แล้วการเว้นระยะห่างจากผนังถึงขอบของฝ้าเป็นระยะเท่าไหร่ หรือการเสริมกล่องม่านต้องเว้นเท่าไหร่ ก็ไปดูกันเลย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ช่วยให้หลายท่านวางแผนในการออกแบบตกแต่งภายใน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผ้าม่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


คราฟต์ (Craft) นะครับ

งานคราฟต์ Craft โดยปกติแล้ว งานคราฟต์คือเป็นงานที่ใช้ฝีมือ มือมนุษย์ในการทำการผลิตชิ้นงานนั้นๆ ขึ้นมาโดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยากที่จะเรียนแบบด้วยระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม สำหรับเรื่องเกี่ยวกับผ้าแล้วงานคราฟต์ในวงการผ้า ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าโดยการใช้เทคนิคพิเศษ (Hand Weave) ในแต่ละท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการ มัดหมี่ ขิด จก ล้วง และก็ยังมีการคราฟต์อีกรูปแบบหนึ่งที่รูปแบบการทออาจไม่พิเศษมากนัก แต่จะเน้นที่เส้นด้ายที่มีความพิเศษ แสดงถึงความเป็นฝีมือคนทำ คือการไม่สมบูรณ์แบบ เส้นด้ายที่ออกมาจะมีความเป็นสลาฟ มีความไม่เท่ากัน เล็กใหญ่ ความไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ผ้าที่ผลิตด้วยการทอมือ ผ้าทอพื้นบ้าน นั้นจะมีความแข็งแรงน้อย (Tensile Strength) ความแน่นในการทอ (Density) ต่ำและไม่สม่ำเสมอ แม้ในวงการแฟชั่นเอง ยังมีการเสริมความแข็งแรงด้วยผ้ากาว ยิ่งถ้าในอุตสาหกรรมเคหะสิ่งทอ การเอาผ้าเหล่านี้มาใช้เป็นผ้าเฟอร์นิเจอร์ หรือบุโซฟาตัวโปรดของคุณนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ผ้าจะสั้นมาก เพราะผ้านั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการรับสภาวะของการใช้งานอย่างหนัก อย่างผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป ซึ่งปกติผ้าบุเฟอร์นอเจอร์ต้องมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ตามมาตรฐานสากล

30062 PENINSULA เมื่อมองในระยะใกล้ๆ

สำหรับคนที่โหยหามนต์เสน่ห์ของผ้าคราฟต์ มาเป็นผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ วันนี้นิทัสเรามีผ้าบุเฟอร์เจอร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สามารถผลิตเส้นด้ายให้มีความเหมือนกับเส้นด้ายปั่นด้วยมือ (Hand Spun) มีความเป็นสลาฟ เส้นเล็กใหญ่ แต่มีความแข็งแรง และเทคโนโลยีการทอที่ทันสมัยที่สามารถป้อนด้ายที่มีความไม่สม่ำเสมอเข้าในกระบวนการทอได้ ให้อารมณ์ของงานคราฟต์ได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยความแข็งแรงของตัวเนื้อผ้า ที่ทุกตัวมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ในมาตรฐานเดียวกับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป

30066 PARADISO-101 CREAM

อีกทั้งคุณสมบัติการสะท้อนน้ำ (Water Repellrnt) ที่เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ผ้าของคุณไม่เปื้อนและเก่าง่าย ช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน แต่ด้วยลักษณะของเนื้อผ้าที่มีเท็กเจอร์ของผ้าที่ไม่เรียบเนียน ตามสไตล์งานคราฟต์ ประสิทธิภาพของการสะท้อนน้ำนี้ก็จะมากน้อยแตกต่างกันไป


ผ้าของนิทัส ที่ให้อารมณ์แบบงานคราฟต์

ซึ่งในรูปถ่ายอยู่ในขนาด 15×15 เซนติเมตร

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

ผ้าต่วน หรือผ้าซาติน

ผ้าซาตินเป็นผ้าทอประเภทหนึ่งที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่เรียบ มันวาว และผ้าเดรปที่ลื่นไหล มันถูกสร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งไปบนเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นก่อนที่จะผ่านไปภายใต้เส้นด้ายยืนเส้นเดียว ทำให้เกิดเส้นลอยหรือด้ายยาวบนพื้นผิวของผ้า ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างลายทอมีการซ้อนทับน้อยกว่าลายทอประเภทอื่น ช่วยให้ด้ายเรียงชิดกันมากขึ้นและสร้างพื้นผิวที่เรียบขึ้น ผ้าซาตินทอได้จากเส้นใยหลายชนิด เช่น ไหม ผ้าฝ้าย เรยอน และโพลีเอสเตอร์ และมักใช้สำหรับเสื้อผ้า ผ้าลินิน และเบาะ ประเภทของผ้าซาตินที่ใช้กันมากที่สุดคือผ้าซาตินแบบสี่สายรัดหรือผ้าซาตินสี่ชิ้น แต่ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่น ผ้าซาตินแบบห้าสายรัดและผ้าซาตินแบบแปดสายรัด

มีผ้าทอหลายประเภทที่ใช้ในการผลิตสิ่งทอ นี่คือบางประเภททั่วไป:

การทอแบบธรรมดา Plain weave: เป็นรูปแบบการทอที่ง่ายและพบได้บ่อยที่สุด โดยเส้นด้ายพุ่งผ่านและใต้เส้นด้ายยืนในแต่ละแถวสลับกัน

การทอลายทแยงTwill: การทอนี้มีลักษณะเฉพาะด้วยรูปแบบทแยงที่สร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหนึ่งเส้นหรือมากกว่า จากนั้นภายใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไป

ผ้าซาตินสาน Satin: ผ้าทอนี้มีพื้นผิวที่เรียบและเป็นมันที่สร้างขึ้นโดยการลอยเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นแล้วสอดเข้าไปใต้เส้นด้าย

การทอแบบตะกร้า Basketweave: การทอนี้เกิดจากการสอดด้ายพุ่งสองเส้นขึ้นไปทับและใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไปในรูปแบบปกติ

การทอแบบ Jacquard: นี่คือการทอที่ซับซ้อนที่ช่วยให้สามารถสร้างรูปแบบและการออกแบบที่ซับซ้อนได้โดยใช้เครื่องทอผ้าพิเศษและบัตรเจาะหรือการควบคุมแบบดิจิตอลเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืนและพุ่ง

  1. การทอแบบด๊อบบี้ Dobby: เป็นการทอประเภทหนึ่งที่สร้างลวดลายเรขาคณิตขนาดเล็กโดยการเลือกเพิ่มและลดเส้นด้ายยืนด้วยกลไกพิเศษที่เรียกว่าด๊อบบี้

ผ้าเจ็คการ์ด

 ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric)

ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric) เป็นชนิดของผ้าที่ถูกทอด้วยเทคนิคการทอ Jacquard ซึ่งเป็นเทคนิคการทอที่ใช้ระบบช่วยคิดเพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและหลากหลายในผ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทอเจ็คการ์ดนั้นจะใช้เครื่องทอที่มีสายสลับสวมใส่ที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายได้หลากหลายและซับซ้อน เพื่อให้สามารถสร้างลวดลายต่างๆ ในผ้าได้อย่างละเอียดอ่อน ด้วยเหตุนี้ ผ้าเจ็คการ์ดมักจะมีลักษณะการทอที่มีความหนาและคุณภาพสูง และถูกนำมาใช้ในการผลิตเสื้อผ้า ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง และอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน นอกจากนี้ ผ้าเจ็คการ์ดยังสามารถผสมผสานกับการใช้เทคนิคการทออื่นๆ เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายและน่าสนใจในผ้าได้อีกด้วย

ในการทอเจ็คการ์ด จะใช้เครื่องทอที่มีตะขอต่อกันไว้หลายตัว เรียกว่า “ช่องจักวาร์ด” (Jacquard Loom) เพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนในผ้า แต่ละตัวจะควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้นในลวดลายเฉพาะ ซึ่งช่องจักวาร์ดนี้จะถูกโปรแกรมให้ทอลายละเอียดและสอดคล้องกับแบบออกแบบ โดยโปรแกรมจะคำนวณและควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายแต่ละเส้นให้สอดคล้องกับลวดลายที่ต้องการ

ผ้าเจ็คการ์ดมักมีลักษณะการทอที่มีความหนาและคุณภาพสูง โดยสามารถสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและละเอียดได้อย่างได้ผลและแม่นยำ ทำให้ผ้าเจ็คการ์ดเป็นที่นิยมในการผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน เนื่องจากมีลักษณะการทอที่สวยงามและมีคุณภาพสูง

นอกจากนี้ ผ้าเจ็คการ์ดยังสามารถผสมผสานกับการใช้เทคนิคการทออื่นๆ เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายและน่าสนใจในผ้าได้อีกด้วย เช่น การผสมผสานกับเทคนิคการทอจากเครื่องทอฝังกลม (Rotary Loom) เพื่อสร้างลวดลายที่หลากหลายขึ้น หรือการผสมผสานกับเทคนิคการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อสร้างลวดลายที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงของ


เพียงแค่นั้นเป็นเทคนิคการผสมผสานของผ้าเจ็คการ์ดเท่านั้น ซึ่งยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถใช้เพื่อสร้างลวดลายที่น่าสนใจและหลากหลายขึ้นในผ้าเจ็คการ์ดได้ เช่น การใช้เทคนิคการทอต่างๆ เช่นการทอซาติน (Satin weave) เพื่อสร้างผ้าที่มีพื้นผิวเงาโดดเด่น หรือการใช้เทคนิคการทอแบบผสม (Blended fabric) เพื่อผสมผสานลวดลายจากวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันในผ้าเจ็คการ์ด

ในสมัยปัจจุบัน ผ้าเจ็คการ์ดยังคงเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน โดยมีลักษณะการทอที่สวยงามและมีคุณภาพสูง และยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างผ้าเจ็คการ์ดที่มีลักษณะการทอและลวดลายที่สวยงามและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


ตัวอย่างผ้าของเราที่ทอด้วยเครื่องทอระบบแจ็คการ์ด

ผ้าม่าน Curtain


ผ้าม่านกันแสงหน้ากว้าง Width Wide Dim-out