fbpx

ม่านเปิดทางเดียวหรือม่านแยกกลางดี

แบบไหนที่นิทัสเราแนะนำ ไปดูกันเลย


A หน้าต่าง บานฟิกซ์


B หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 1


C หน้าต่างหรือประตู บานสไลด์ 2


D หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 1


E หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 1 บานสไลด์ 2


F หน้าต่างหรือประตู บานฟิกซ์ 2 บานสไลด์ 2


Repeat คืออะไร และวัดยังไง

ว่าด้วยการออกแบบลวดลายนั้น โดยปกติ จะมีการออกแบบลวดลายอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. ลวยลายแบบไม่ต่อลาย (Individual Design) คือจะเป็นลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแบบเดี่ยวๆ แยกกัน หรือเป็นกลุ่มลายที่ไม่ต่อเนื่องกัน เมื่อนำมาต่อกันก็จะเป็นลักษณะ เป็นกลุ่มๆ ที่ซ้ำกันเหมือนเราปูกระเบื้องที่ลวดลายไม่ต่อเนื้องกัน

2. ลายแบบต่อเนื่องกัน (Repeat Pattern Design) เป็นลวดลายที่ออกแบบโดยเฉพาะให้มีความต่อเนื่อง เมื่อเรานำลายมาชนต่อกันแล้ว ทั้งซ้าย-ขวา, บน-ล่าง ลวดลายนั้นก็จะต่อเนื้องสม่ำเสมอกันทั้งหมด

ตัวอย่างลาย 1 Repeat
ที่อย่าลายที่ออกแบบมาให้ต่อเนื่องกัน

การสังเกตุ และวัดระยะของลายผ้า Repeat ทำได้อย่างไร? จริงๆ เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ โดยเราจะหาจุดสังเกตุจุดใดก็ได้ของลายผ้าที่เด่นชัด เช่นตามตัวอย่างรูปด้านล่าง เราจะเอาปลายก้านของช่อดอกนั้นเป็นตำแหน่งหลักในการวัดระยะ

สังเกตุจากจุดหลักตั้งต้น และมองหาจุดที่ลายผ้านั้นซ้ำกัน มองไปทิศทางซ้ายไปขวา คือค่าความกว้าง (Width) และในส่วนของแนวตั้ง (Height) จากจุดที่ลายผ้าซ้ำกัน เราก็จะได้ขนาดของ Repeat ผ้านั่นเอง


ความสำคัณของ Repeat คือ ในการตัดเย็บผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟาตัวใหญ่ ที่ต้องมีการต่อลายให้ลวดลายต่อเนื่องกัน ฉะนั้น การรู้ตัวเลขของระยะซ้ำของลายผ้านั้นก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้ในการคำนวนผ้าเพื่อให้ระยะการต่อลวดลายลงตัว

รูปตัวอย่าง การต่อผ้าของผ้าม่าน

ในกรณีผ้าม่านที่ไม่มีลวดลายหรือเป็นเพียงเท็กเจอร์เล็กๆ ในลายผ้านั้น ก็จะไม่มีปัญหาในลายผ้าแต่อย่างใด เพราะลายนั้นมันเล็กเกินกว่าจะสังเกตุได้ว่าไม่ต่อเนื่องกัน

ตัวอย่างลวดลายผ้าเมื่อกางออกมาจากม้วนผ้า
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยไม่ได้คำนวนเผื่อระยะ Repeat ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะไม่ต่อเนื่องกัน
ตัวอย่างการต่อลายผ้าโดยรู้ระยะของ Repeat ผ้า ตะเข็บรอยต่อลวดลายจะต่อเนื่องกันสวยงาม

ดรอปฝ้าซ่อนราง และกล่องบังราง ต้องเว้นระยะเท่าไหร่

หลายคนที่เคยแต่งบ้าน แล้วสังเกตุการติดตั้งม่าน แล้วทำไมรู้สึกว่า บ้านตัวอย่าง หรือบ้านเพื่อนที่เราไปเที่ยวหา ทำไมผ้าม่านนั้นดูสวยลงตัว เป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้ดี สิ่งที่สำคัญคือ การดรอปฝ้า  (Drop Ceiling) ซ่อนรางม่านและหัวม่านยังไงละ แต่สำหรับบางบ้านที่ไม่ได้วางแผนกับการดรอปฝ้าไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่อยากรื้อให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็มีวิธีการแก้ไขโดยการ เสริมกล่องบังราง (Curtain Cornice, Pelmet) แล้วทั้งสองอย่างนี้ เค้าเว้นระยะกันเท่าไหร่ ไปดูกันเลย

ตัวอย่างห้องที่มีการออกแบบในการดรอปฝ้า

สำหรับลูกค้าบ้าน ถ้าต้องการดรอปฝ้า ควรปรึกษาเรื่องแบบบ้าน ตั้งแต่แรกก่อนสร้างบ้าน เพราะต้องกำหนดระยะความสูงจากพื้นถึงฝ้าตั้งแต่แรก เพราะถ้าไม่ได้กำหนดไว้ ในการปรับปรุงตกแต่งที่หลังอาจส่งผลให้ระดับฝ้าจะต่ำกว่าปกติ ทำให้รู้สึกอึดอัด งานส่วนนี้ ต้องปรึกษา และทำด้วยผู้รับเหมาตกแต่งบ้านที่เชี่ยวชาญ ร้านม่านโดยทั่วไปมักทำในส่วนนี้ไม่ได้ นะครับ


ตัวอย่างการแก้ปัญหาด้วยการเสริมกล่องม่านบังราง

สำหรับงานเสริมกล่องบังรางนั้น เป็นงานเสริม เพิ่มความสวยงานโดยไม่ได้ไปยุ่งกับระดับของตัวฝ้าเพดานเดิม สามารถบอกทางร้านม่านเลยตั้งแต่แรกว่าต้องการทำสิ่งนี้ด้วย เพื่อง่ายต่อการคำนวนและเข้าวัดพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และงานส่วนนี้ร้านม่านทั่วไปสามารถทำได้


โดยทั่วไปแล้วการตัดเย็บผ้าม่านสำหรับรางสไลด์ มักตัดเย็บกันในสองรูปแบบ 1. แบบคลาสสิกคือ ม่านสามจีบ 2. แบบโมเดิร์น คือแบบลอน S ซึ่งรูปแบบการตัดเย็บทั้งสองแบบมีผลกับการเว้นระยะห่างอย่างยิ่ง เพราะม่านสามจีบมีการเก็บช่วงลอนของม่านเป็นในรูปแบบจีบแล้ว ซึ่งจะทำให้กินระยะน้อยว่าม่านลอน S ที่มีช่วงลอนโค้งกินไปทางหน้าและหลังที่เท่าๆ กัน

แล้วการเว้นระยะห่างจากผนังถึงขอบของฝ้าเป็นระยะเท่าไหร่ หรือการเสริมกล่องม่านต้องเว้นเท่าไหร่ ก็ไปดูกันเลย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ช่วยให้หลายท่านวางแผนในการออกแบบตกแต่งภายใน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผ้าม่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


คราฟต์ (Craft) นะครับ

งานคราฟต์ Craft โดยปกติแล้ว งานคราฟต์คือเป็นงานที่ใช้ฝีมือ มือมนุษย์ในการทำการผลิตชิ้นงานนั้นๆ ขึ้นมาโดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยากที่จะเรียนแบบด้วยระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม สำหรับเรื่องเกี่ยวกับผ้าแล้วงานคราฟต์ในวงการผ้า ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าโดยการใช้เทคนิคพิเศษ (Hand Weave) ในแต่ละท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการ มัดหมี่ ขิด จก ล้วง และก็ยังมีการคราฟต์อีกรูปแบบหนึ่งที่รูปแบบการทออาจไม่พิเศษมากนัก แต่จะเน้นที่เส้นด้ายที่มีความพิเศษ แสดงถึงความเป็นฝีมือคนทำ คือการไม่สมบูรณ์แบบ เส้นด้ายที่ออกมาจะมีความเป็นสลาฟ มีความไม่เท่ากัน เล็กใหญ่ ความไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ผ้าที่ผลิตด้วยการทอมือ ผ้าทอพื้นบ้าน นั้นจะมีความแข็งแรงน้อย (Tensile Strength) ความแน่นในการทอ (Density) ต่ำและไม่สม่ำเสมอ แม้ในวงการแฟชั่นเอง ยังมีการเสริมความแข็งแรงด้วยผ้ากาว ยิ่งถ้าในอุตสาหกรรมเคหะสิ่งทอ การเอาผ้าเหล่านี้มาใช้เป็นผ้าเฟอร์นิเจอร์ หรือบุโซฟาตัวโปรดของคุณนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ผ้าจะสั้นมาก เพราะผ้านั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการรับสภาวะของการใช้งานอย่างหนัก อย่างผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป ซึ่งปกติผ้าบุเฟอร์นอเจอร์ต้องมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ตามมาตรฐานสากล

30062 PENINSULA เมื่อมองในระยะใกล้ๆ

สำหรับคนที่โหยหามนต์เสน่ห์ของผ้าคราฟต์ มาเป็นผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ วันนี้นิทัสเรามีผ้าบุเฟอร์เจอร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สามารถผลิตเส้นด้ายให้มีความเหมือนกับเส้นด้ายปั่นด้วยมือ (Hand Spun) มีความเป็นสลาฟ เส้นเล็กใหญ่ แต่มีความแข็งแรง และเทคโนโลยีการทอที่ทันสมัยที่สามารถป้อนด้ายที่มีความไม่สม่ำเสมอเข้าในกระบวนการทอได้ ให้อารมณ์ของงานคราฟต์ได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยความแข็งแรงของตัวเนื้อผ้า ที่ทุกตัวมีการทดสอบการขัดถู (Abrasion Resistance) ในมาตรฐานเดียวกับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป

30066 PARADISO-101 CREAM

อีกทั้งคุณสมบัติการสะท้อนน้ำ (Water Repellrnt) ที่เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ผ้าของคุณไม่เปื้อนและเก่าง่าย ช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน แต่ด้วยลักษณะของเนื้อผ้าที่มีเท็กเจอร์ของผ้าที่ไม่เรียบเนียน ตามสไตล์งานคราฟต์ ประสิทธิภาพของการสะท้อนน้ำนี้ก็จะมากน้อยแตกต่างกันไป


ผ้าของนิทัส ที่ให้อารมณ์แบบงานคราฟต์

ซึ่งในรูปถ่ายอยู่ในขนาด 15×15 เซนติเมตร

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

รูปผ้าข้างบนเมื่อมองในระยะใกล้ๆ

ผ้าต่วน หรือผ้าซาติน

ผ้าซาตินเป็นผ้าทอประเภทหนึ่งที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่เรียบ มันวาว และผ้าเดรปที่ลื่นไหล มันถูกสร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งไปบนเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นก่อนที่จะผ่านไปภายใต้เส้นด้ายยืนเส้นเดียว ทำให้เกิดเส้นลอยหรือด้ายยาวบนพื้นผิวของผ้า ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างลายทอมีการซ้อนทับน้อยกว่าลายทอประเภทอื่น ช่วยให้ด้ายเรียงชิดกันมากขึ้นและสร้างพื้นผิวที่เรียบขึ้น ผ้าซาตินทอได้จากเส้นใยหลายชนิด เช่น ไหม ผ้าฝ้าย เรยอน และโพลีเอสเตอร์ และมักใช้สำหรับเสื้อผ้า ผ้าลินิน และเบาะ ประเภทของผ้าซาตินที่ใช้กันมากที่สุดคือผ้าซาตินแบบสี่สายรัดหรือผ้าซาตินสี่ชิ้น แต่ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่น ผ้าซาตินแบบห้าสายรัดและผ้าซาตินแบบแปดสายรัด

มีผ้าทอหลายประเภทที่ใช้ในการผลิตสิ่งทอ นี่คือบางประเภททั่วไป:

การทอแบบธรรมดา Plain weave: เป็นรูปแบบการทอที่ง่ายและพบได้บ่อยที่สุด โดยเส้นด้ายพุ่งผ่านและใต้เส้นด้ายยืนในแต่ละแถวสลับกัน

การทอลายทแยงTwill: การทอนี้มีลักษณะเฉพาะด้วยรูปแบบทแยงที่สร้างขึ้นโดยผ่านเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหนึ่งเส้นหรือมากกว่า จากนั้นภายใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไป

ผ้าซาตินสาน Satin: ผ้าทอนี้มีพื้นผิวที่เรียบและเป็นมันที่สร้างขึ้นโดยการลอยเส้นด้ายพุ่งเหนือเส้นด้ายยืนหลาย ๆ เส้นแล้วสอดเข้าไปใต้เส้นด้าย

การทอแบบตะกร้า Basketweave: การทอนี้เกิดจากการสอดด้ายพุ่งสองเส้นขึ้นไปทับและใต้เส้นด้ายยืนสองเส้นขึ้นไปในรูปแบบปกติ

การทอแบบ Jacquard: นี่คือการทอที่ซับซ้อนที่ช่วยให้สามารถสร้างรูปแบบและการออกแบบที่ซับซ้อนได้โดยใช้เครื่องทอผ้าพิเศษและบัตรเจาะหรือการควบคุมแบบดิจิตอลเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืนและพุ่ง

  1. การทอแบบด๊อบบี้ Dobby: เป็นการทอประเภทหนึ่งที่สร้างลวดลายเรขาคณิตขนาดเล็กโดยการเลือกเพิ่มและลดเส้นด้ายยืนด้วยกลไกพิเศษที่เรียกว่าด๊อบบี้

ผ้าเจ็คการ์ด

ผ้าเจ็คการ์ด (Jacquard Fabric)

ผ้าเจ็คการ์ดเป็นผ้าที่ทอด้วยเทคนิคการทอแบบ Jacquard ซึ่งใช้ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายเพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและหลากหลายได้อย่างแม่นยำ เทคนิคนี้ใช้เครื่องทอที่เรียกว่า “ช่องจักวาร์ด” (Jacquard Loom) ซึ่งมีตะขอหลายตัวควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้นตามลวดลายที่ออกแบบไว้ เครื่องทอนี้สามารถโปรแกรมให้ทอลายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผ้าเจ็คการ์ดมีลักษณะการทอที่หนาและมีคุณภาพสูง

ผ้าเจ็คการ์ดนิยมใช้ในการผลิตเสื้อผ้า ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง และอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงามและมีความทนทาน นอกจากนี้ ยังสามารถผสมผสานกับเทคนิคการทออื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของลวดลาย เช่น การทอซาติน (Satin weave) เพื่อสร้างพื้นผิวที่เงางาม หรือการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อผสมวัสดุต่างชนิดกันให้เกิดลวดลายเฉพาะตัว

ในปัจจุบัน ผ้าเจ็คการ์ดยังคงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมแฟชั่นและตกแต่งบ้าน ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถสร้างลวดลายที่สลับซับซ้อนและสวยงามได้มากขึ้น จึงทำให้ผ้าเจ็คการ์ดเป็นวัสดุที่มีคุณค่าและความโดดเด่นในด้านการออกแบบและการใช้งานอย่างกว้างขวาง


ประวัติเครื่องทอ Jacquard และวิวัฒนาการสู่ระบบคอมพิวเตอร์

เครื่องทอ Jacquard ในอดีต

เครื่องทอ Jacquard ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การทอผ้า คิดค้นโดย โจเซฟ มารี จักวาร์ด (Joseph Marie Jacquard) ชาวฝรั่งเศส ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1804) ก่อนหน้านี้ การทอลวดลายซับซ้อนบนผ้าต้องใช้แรงงานคนในการควบคุมเส้นด้ายยืน (เส้นด้ายแนวตั้ง) ให้ยกขึ้นหรือลงตามลวดลายที่ต้องการ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและมีข้อผิดพลาดได้ง่าย

เครื่องทอ Jacquard ใช้ระบบ บัตรเจาะรู (Punched Cards) เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืน แต่ละบัตรเจาะรูจะแทนลวดลายหนึ่งแถว โดยการเจาะรูบนบัตรจะกำหนดว่าด้ายยืนเส้นใดควรถูกยกขึ้นหรือลง ขณะที่เครื่องทอทำงาน บัตรเหล่านี้จะถูกส่งผ่านเครื่องทีละใบ ทำให้สามารถทอลวดลายที่ซับซ้อนได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในการควบคุมเส้นด้ายแต่ละเส้น

เครื่องทอ Jacquard ถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการทำงานแบบโปรแกรมได้ (Programmable System) และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมา

วีดีโอตัวอย่างการทอผ้า Jacquard แบบสมัยโบราณ โดยใช้ระบบ Punched Cards

ระบบเครื่องทอ Jacquard ในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน เครื่องทอ Jacquard ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แทนที่บัตรเจาะรูด้วยระบบดิจิทัลที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ ทำให้กระบวนการทอผ้ามีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีลักษณะการทำงานดังนี้:

  1. ระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์
    เครื่องทอ Jacquard สมัยใหม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายยืน แต่ละเส้นด้ายยืนจะถูกควบคุมโดย Actuator (อุปกรณ์ขับเคลื่อน) ที่ทำงานตามคำสั่งจากโปรแกรม ซึ่งสามารถออกแบบลวดลายได้อย่างละเอียดผ่านซอฟต์แวร์ออกแบบ (Design Software) เช่น CAD (Computer-Aided Design)
  2. การโปรแกรมลวดลาย
    ลวดลายที่ต้องการทอจะถูกออกแบบบนคอมพิวเตอร์ จากนั้นโปรแกรมจะคำนวณและส่งคำสั่งไปยังเครื่องทอเพื่อควบคุมการยกขึ้นหรือลงของเส้นด้ายยืนแต่ละเส้น ทำให้สามารถทอลวดลายที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ
  3. ความเร็วและประสิทธิภาพ
    เครื่องทอ Jacquard สมัยใหม่ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง สามารถทอผ้าได้หลายเมตรในเวลาอันสั้น และรองรับการทอลวดลายที่หลากหลาย โดยไม่จำกัดความซับซ้อนของลวดลาย
  4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอื่นๆ
    เครื่องทอ Jacquard ในปัจจุบันยังสามารถผสมผสานกับเทคนิคการทออื่นๆ เช่น การทอซาติน (Satin Weave) หรือการทอแบบด้ายผสม (Blended Yarn) เพื่อสร้างพื้นผิวและลวดลายที่โดดเด่นยิ่งขึ้น

ตัวอย่างผ้าของเราที่ทอด้วยเครื่องทอระบบแจ็คการ์ด

ผ้าม่าน Curtain


ผ้าม่านกันแสงหน้ากว้าง Width Wide Dim-out


วิสโคส

DeepSeek

บทความการสอน: เส้นด้ายและเส้นใย Regenerated Fiber (วิสโคสและเรยอน)

1. บทนำ

เส้นใย regenerated fiber เป็นเส้นใยที่มนุษย์สร้างขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะเซลลูโลสที่ได้จากพืช เช่น ไม้หรือฝ้าย ผ่านกระบวนการทางเคมีและกายภาพ เส้นใยเหล่านี้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเส้นใยธรรมชาติ แต่สามารถปรับปรุงให้มีคุณสมบัติเฉพาะทางได้ตามความต้องการ การเรียนเรื่องนี้จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจกระบวนการผลิต คุณลักษณะเฉพาะ และการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

2. เส้นใย Regenerated Fiber

เส้นใย regenerated fiber เป็นเส้นใยที่ผลิตขึ้นใหม่จากวัสดุธรรมชาติที่มีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลัก ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือ วิสโคส (Viscose) และ เรยอน (Rayon) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีกระบวนการผลิตและคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน

3. กระบวนการผลิตเส้นใย Regenerated Fiber

3.1 วิสโคส (Viscose)

  1. การเตรียมวัตถุดิบ: เริ่มจากการนำเซลลูโลสจากไม้หรือฝ้ายมาทำความสะอาดและบดให้ละเอียด
  2. การทำสารละลาย: เซลลูโลสจะถูกทำให้เป็นสารละลายโดยใช้สารเคมี เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (CS₂) เพื่อสร้างสารละลายวิสโคส
  3. การขึ้นรูปเส้นใย: สารละลายวิสโคสจะถูกปั๊มผ่าน spinneret (หัวฉีด) เข้าสู่สารละลายกรดเพื่อทำให้แข็งตัวและเกิดเป็นเส้นใย
  4. การล้างและทำให้แห้ง: เส้นใยที่ได้จะถูกล้างเพื่อกำจัดสารเคมีที่เหลือและทำให้แห้งก่อนนำไปใช้งาน

3.2 เรยอน (Rayon)

เรยอนเป็นชื่อทางการค้าของเส้นใย regenerated fiber ที่ผลิตจากเซลลูโลสเช่นกัน กระบวนการผลิตคล้ายกับวิสโคส แต่มีขั้นตอนที่แตกต่างกันเล็กน้อย เช่น การใช้สารเคมีต่างชนิดกันหรือการปรับสภาพเส้นใยให้มีความเหนียวและความมันวาวมากขึ้น

5. หน้าตัดเส้นใย

เส้นใย regenerated fiber มีหน้าตัดที่หลากหลายขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและวัตถุประสงค์การใช้งาน ตัวอย่างเช่น:

  • หน้าตัดกลม: พบได้ทั่วไปในเส้นใยวิสโคสและเรยอน
  • หน้าตัดเป็นร่อง: เพื่อเพิ่มความมันวาวและความเหนียว

6. คุณลักษณะเฉพาะของเส้นใย Regenerated Fiber

  • ความนุ่มและความมันวาว: เส้นใย regenerated fiber มีความนุ่มและความมันวาวใกล้เคียงกับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้ายและไหม
  • การดูดซับน้ำ: สามารถดูดซับน้ำได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย
  • ความแข็งแรง: แม้จะมีความแข็งแรงน้อยกว่าเส้นใยสังเคราะห์ แต่ก็สามารถปรับปรุงได้ด้วยกระบวนการทางเคมี

8. การนำไปใช้

เส้นใย regenerated fiber ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างกว้างขวาง เช่น:

  • เสื้อผ้า: เสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและมีเนื้อผ้านุ่ม
  • เฟอร์นิเจอร์: ผ้าปูที่นอนและผ้าม่าน
  • ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์: ผ้าพันแผลและชุดผ่าตัด


GEMINI

เส้นใยรีเจนเนอเรต (regenerated fibers) เช่น วิสโคสและเรยอน โดยจะครอบคลุมถึงวิธีการผลิต สารละลายขึ้นรูป ชื่อสามัญ ชื่อทางการค้า หน้าตัดเส้นใย และคุณลักษณะเฉพาะเมื่อเทียบกับเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์จากโพลิเมอร์

เส้นใยรีเจนเนอเรต (Regenerated Fibers)

เส้นใยรีเจนเนอเรต คือ เส้นใยที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่มีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น เยื่อไม้ ฝ้าย หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อละลายและขึ้นรูปใหม่ให้เป็นเส้นใยที่มีคุณสมบัติเฉพาะตามต้องการ

วิสโคส (Viscose)

  • วิธีการผลิต:
    • นำเยื่อไม้หรือฝ้ายมาผ่านกระบวนการทางเคมี โดยใช้โซดาไฟ (caustic soda) และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (carbon disulfide) เพื่อละลายเซลลูโลสให้เป็นสารละลายวิสโคส
    • นำสารละลายวิสโคสไปผ่านหัวฉีด (spinneret) ลงในสารละลายกรดซัลฟิวริก (sulfuric acid) เพื่อให้เซลลูโลสกลับคืนสภาพและแข็งตัวเป็นเส้นใย
  • สารละลายขึ้นรูป: สารละลายวิสโคส (viscose solution)
  • ชื่อสามัญ: วิสโคส (viscose)
  • ชื่อทางการค้า: เรยอนวิสโคส (viscose rayon)
  • หน้าตัดเส้นใย: มีลักษณะเป็นร่องยาวตามแนวเส้นใย
  • คุณลักษณะเฉพาะ:

เรยอน (Rayon)

เรยอนเป็นคำเรียกทั่วไปสำหรับเส้นใยรีเจนเนอเรตที่ผลิตจากเซลลูโลส ซึ่งรวมถึงวิสโคสด้วย แต่ในบางครั้งอาจหมายถึงเส้นใยรีเจนเนอเรตที่ผลิตด้วยกระบวนการอื่น เช่น กระบวนการคิวปรามโมเนียม (cuprammonium process)

  • กระบวนการคิวปรามโมเนียม (Cuprammonium Process):
    • นำเยื่อไม้หรือฝ้ายมาละลายในสารละลายคิวปรามโมเนียม (cuprammonium solution) ซึ่งเป็นสารละลายของคอปเปอร์ (II) ไฮดรอกไซด์ในสารละลายแอมโมเนีย
    • นำสารละลายที่ได้ไปผ่านหัวฉีดลงในสารละลายกรด เพื่อให้เซลลูโลสกลับคืนสภาพและแข็งตัวเป็นเส้นใย

ความแตกต่างระหว่างเส้นใยรีเจนเนอเรต เส้นใยธรรมชาติ และเส้นใยสังเคราะห์จากโพลิเมอร์


    Chat GPT

    เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด (Regenerated Fiber): โครงสร้าง การผลิต และคุณลักษณะเฉพาะ

    1. บทนำ

    เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด (Regenerated Fiber) เป็นเส้นใยที่ได้จากการเปลี่ยนโครงสร้างของเซลลูโลสธรรมชาติให้เป็นของเหลว แล้วนำมาผ่านกระบวนการขึ้นรูปใหม่ให้เป็นเส้นใย ประเภทของเส้นใยนี้มีคุณสมบัติที่ผสมผสานระหว่างเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งพบมากในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตัวอย่างที่นิยม ได้แก่ วิสโคส เรยอน และโมดอล


    2. กระบวนการผลิตเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด

    2.1 การเตรียมวัตถุดิบ

    • แหล่งวัตถุดิบหลักคือเซลลูโลสจากพืช เช่น ไม้ไผ่ ยูคาลิปตัส ฝ้าย และต้นไม้ทั่วไป
    • เซลลูโลสถูกสกัดออกจากเยื่อไม้หรือเส้นใยพืช ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์

    2.2 การผลิตสารละลายเส้นใย

    • เซลลูโลสถูกละลายด้วยสารเคมี เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (CS₂) จนได้สารละลายเซลลูโลสที่เรียกว่า “วิสโคส” ในกรณีของเส้นใยวิสโคสและเรยอน
    • สำหรับเส้นใยไลโอเซลล์ ใช้วิธีการละลายในตัวทำละลายอินทรีย์เช่น N-Methylmorpholine N-oxide (NMMO) ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    2.3 กระบวนการขึ้นรูปเส้นใย

    • สารละลายเซลลูโลสถูกนำไปผ่านหัวฉีด (Spinneret) ลงในอ่างที่มีสารตกตะกอน เช่น กรดซัลฟิวริก (H₂SO₄) หรือสารละลายน้ำ เพื่อทำให้เกิดการแข็งตัวของเส้นใย
    • เส้นใยที่ได้ถูกดึงยืดให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นเหมาะสม

    2.4 การฟอกและตกแต่งเส้นใย

    • เส้นใยที่ผลิตได้จะผ่านการล้าง ฟอก และอบแห้ง ก่อนนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสิ่งทอต่อไป

    4. ชื่อสามัญและชื่อทางการค้า

    • วิสโคส (Viscose): ชื่อสามัญที่ใช้เรียกเส้นใย regenerated fiber ที่ผลิตจากเซลลูโลส
    • เรยอน (Rayon): ชื่อทางการค้าที่ใช้เรียกเส้นใย regenerated fiber บางชนิด โดยเฉพาะที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา

    คุณลักษณะเฉพาะ:

    • มีความละเอียดและอ่อนนุ่ม
    • มีความเงางาม
    • ดูดซับความชื้นได้ดี
    • สวมใส่สบาย
    • มีความเงางามคล้ายไหม
    • ดูดซับความชื้นได้ดี
    • สวมใส่สบาย
    • มีความแข็งแรงปานกลางเมื่อแห้ง แต่ความแข็งแรงจะลดลงเมื่อเปียก
    • เมื่อเปรียบเทียบกับฝ้ายซึ่งเป็นเส้นใยเซลลูโลสจากธรรมชาติ วิสโคสจะมีความมันเงาและความนุ่มนวลที่มากกว่า แต่เรื่องความทนทานเมื่อเปียกจะน้อยกว่า
    • เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นใยสังเคราะห์จากโพลิเมอร์ เช่น โพลีเอสเตอร์ วิสโคสจะมีความสามารถในการระบายอากาศและความสามารถในการดูดซับความชื้นได้ดีกว่า

    ชื่อสามัญและชื่อทางการค้าของเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ด

    ชื่อสามัญชื่อทางการค้า
    วิสโคส (Viscose)Bemberg, Lenzing Viscose
    เรยอน (Rayon)Tencel, Modal
    ไลโอเซลล์ (Lyocell)Tencel
    คูโปร (Cupro)Bemberg


    การเปรียบเทียบกับเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์

    คุณสมบัติเส้นใยรีเจนเนอเรเต็ดเส้นใยธรรมชาติ (ฝ้าย)เส้นใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์)
    แหล่งที่มาเซลลูโลสแปรรูปเซลลูโลสธรรมชาติโพลิเมอร์สังเคราะห์
    การดูดซับน้ำสูงสูงต่ำ
    ความแข็งแรงปานกลางสูงสูง
    ความยืดหยุ่นปานกลางต่ำสูง
    การระบายอากาศดีดีต่ำ
    ความคงทนต่อแสงแดดปานกลางสูงสูง
    การย่อยสลายทางชีวภาพได้ได้ไม่ได้

      6. บทสรุป

      เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ดเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเส้นใยธรรมชาติแต่สามารถควบคุมกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้คุณสมบัติเฉพาะที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตยังคงเป็นข้อพิจารณาในด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีแนวโน้มในการพัฒนาเส้นใยที่ใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ไลโอเซลล์ ซึ่งช่วยลดของเสียและสารเคมีที่เป็นอันตราย

      9. สรุป

      เส้นใย regenerated fiber เช่น วิสโคสและเรยอน เป็นเส้นใยที่ผลิตจากเซลลูโลสธรรมชาติผ่านกระบวนการทางเคมีและกายภาพ มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเส้นใยธรรมชาติ แต่สามารถปรับปรุงให้มีคุณสมบัติเฉพาะทางได้ การเข้าใจกระบวนการผลิตและคุณลักษณะเฉพาะของเส้นใยเหล่านี้จะช่วยให้นักศึกษาสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      การเลือกใช้เส้นใยรีเจนเนอเรเต็ดจึงขึ้นอยู่กับการใช้งาน วัสดุที่ต้องการ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ยั่งยืนในอนาคต

      จากปัญหา สู่ปัญญา Shrinkage Yarns

      เคยเจอไหมกับปัญหาผ้าหด Fabric Shrinkage ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ หรือแม้กระทั่งยีนส์ตัวโปรดของคุณ เมื่อนำไปซัก ปรากฎว่าอยู่ๆเราก็ได้เสื้อผ้าเล็กลงหนึ่งไซส์หรือผ้าหดนั้นเอง ส่วนใหญ่แล้วผ้าหดมักจะเกิดกับผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ขนสัตว์ เป็นต้น แต่ทำไม่ผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์มักจะไม่ค่อยหดเท่ากับเส้นใยธรรมชาติ สาเหตุคือ

      เส้นใยฝ้าย ดูจากลักษณะของเส้นใย แล้วจะมีลักษณะเส้นบิดตัวกันเป็นเกลียว เมื่อเรานำไปถึงขั้นตอนการผลิตเป็นเส้นด้าย จะมีการหวีและยืดดึง ก่อนจะมีการตีเป็นเกลียวเพื่อเส้นใยเหล่านั้นมีความแข็งแรงกลายเป็นเส้นด้าย จากนั้นในขั้นตอนการทอ การย้อม และตกแต่งสำเร็จ ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็จะมีการเซ็ตหน้าผ้าดึงให้ตรงตลอดเวลาด้วย และเสร็จออกมาเป็นผืนผ้า จนไปถึงการตัดเย็บ จากขั้นตอนจะเห็นได้ว่า จากตัวเส้นใยเอง และตัวผืนผ้าเองมีความเครียดสะสมตลอดมา และเมื่อเรานำไปซัก เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่าเส้นใยธรรมชาติมีความสามารถในการดูดซับความชื้นเข้าไปในตัวเส้นใย จึงทำให้เส้นใยมีความพองตัว และเมื่อโดนน้ำเส้นใยก็จะมีการคลายตัวจากขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมา ฉนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็เลยทำให้เห็นว่าผ้านั้นหดตัวลง ซึ่งจริงแล้วมันคือตัวเส้นใยเองได้รับความชื้นแล้วพองตัวขึ้น และผ่อนคลายจากการยืดดึง กลับมาเป็นเส้นหยิกงอบิดเกียวตามธรรมชาติเดิมนั้นเอง จากที่อธิบายมาข้างต้นก็เป็นสาเหตุเดียวกับว่าทำไมผ้าจากใยสังเคราะห์ไม่ค่อยหดตัว ก็เพราะเส้นใยสังเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ดูดซับความชื้นนั่นเอง

      และด้วยปัญหาการหดตัวของผ้านี้เอง นักออกแบบสิ่งทอ (Textile Designer) ได้จับเอาปัญหานี้ มาเป็นไอเดียที่ว่าผ้าเราใช้เส้นด้ายที่มีการหดตัวสูงทอผสมกับเส้นด้ายที่ไม่หดตัว แล้ววางจังหวะลวดลาย และควบคุมการหดของผ้า เราจะได้ลวดลายผ้าที่นูนเป็นมิติออกมาอย่างสวยงาม

      Shrinkage yarns ด้ายหดหรือที่เรียกว่าเส้นด้ายหดตัว “dimensional” or “controlled shrinkage yarns มักใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอเพื่อสร้างการออกแบบลายนูนบนเนื้อผ้า เส้นด้ายประเภทนี้ได้รับการออกแบบให้หดตัวในระหว่างขั้นตอนการตกแต่ง ซึ่งจะสร้างเอฟเฟกต์สามมิติบนเนื้อผ้า ในการออกแบบลายนูนบนเนื้อผ้าโดยใช้เส้นด้ายหดตัว โดยทั่วไปแล้วเส้นด้ายจะทอเป็นลวดลายเฉพาะในเนื้อผ้า จากนั้นผ้าจะเข้าสู่กระบวนการตกแต่ง ซึ่งจะทำให้เส้นด้ายที่หดตัว หดตัวและสร้างเอฟเฟกต์สามมิติบนเนื้อผ้า การออกแบบที่ได้จะขึ้นอยู่กับรูปแบบของเส้นด้ายหดตัวและเทคนิคการเก็บรายละเอียดเฉพาะที่ใช้

      รูปของผ้าที่ใช้เทคนิค Shrinkage yarns ในการสร้างลวดลายผ้า

      รูปแสดงเข้าไปดูในระยะใกล้ของหน้าผ้า

      รูปแสดงเข้าไปดูในระยะใกล้ของหลังผ้า จะเห็นเส้นด้ายหด Shrinkage yarns เส้นเล็กๆ ฝอยๆ จำนวนมาก ที่กำลังรั้งดึงผ้า ทำให้เกิดเป็นมิติลวดลายนูนออกมาอย่างสวยงาม

      รูปตัวอย่างเส้นด้ายหด Shrinkage yarns

      ด้ายหดตัวมีหลายประเภท จากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ขนแกะ (Wool) ซึ่งเป็นเส้นด้ายที่มีการหดตัวสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ และเส้นใยสังเคราะห์ที่มีการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ให้มีลักษณะของด้ายหด เช่น ด้ายหดโพลีเอสเตอร์ (Polyester Shrinkage yarns)และ ด้ายหดไนลอน (Nylon Shrinkage yarns) เป็นต้น โดยขั้นตอน กำหนดอัตราการหดตัวของเส้นด้ายมีความสำคัญต่อการสร้างการออกแบบลายนูน กำหนดอุณหภูมิที่เส้นด้ายจะหดตัว และการออกแบบการทอเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อดีไซน์ของผ้า โดยจะออกแบบให้เรียบง่ายหรือซับซ้อนก็ขึ้นอยู่กับดีไซน์ที่วางไว้ ขั้นตอนการทอผ้าใช้เครื่องทอผ้าเหมือนการทอปกติ โดยคำนึงถึงอัตราการหดตัวของเส้นด้าย โดยเว้นพื้นที่บางส่วนไว้เพื่อสร้างเอฟเฟกต์นูน ต่อมาก็ถึงขั้นตอนการ ใช้ความร้อนเพื่อทำให้เส้นด้ายหดตัว หลังจากทอผ้าแล้ว ใช้ความร้อนเพือทำให้เส้นด้ายหดตัวซึ่งเป็นขั้นตอนเกี่ยวข้องกับเทคนิคต่างๆ รวมถึงการนึ่ง การซัก หรือการทำให้ผ้าเซ็ตตัวด้วยความร้อนและสร้างเอฟเฟกต์นูน อุณหภูมิและระยะเวลาในการให้ความร้อนจะขึ้นอยู่กับชนิดของเส้นด้ายและอัตราการหดตัวที่ต้องการ โดยทั่วไป อุณหภูมิควรสูงพอที่จะทำให้เส้นด้ายหดตัว แต่ไม่สูงจนทำให้เนื้อผ้าเสียหาย

      ตัวอย่างผ้าของบริษัท นิทัส เทสซิเล ด้วยนวัตกรรมขั้นสูงการใช้ด้ายหดมากำหนดเป็นลวดลายแบบนี้จะมีอยู่ในผ้าม่านราคาสูงเท่านั้น เพราะเป็นเทคนิคที่ยาก ต้องมีการคำนวน อย่างแม่นยำในการออกแบบลวดลาย ให้มีลักษณะออกมาสวยงาม สม่ำเสมอ ไม่มากไปจนทำให้ผ้าบิดเบี้ยว และด้วยลักษณะการนูนเป็นสามมิตินี้เอง จึงไม่เหมาะสำหรับพวกผ้ากันแสงต่างๆ เพราะแสงจะรอดได้ดีในส่วนของลายทอ และไม่นิยมกับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์เช่นกัน เพราะเรื่องความแข็งแรงและอาจจะมีการเกี่ยวได้นั้นเอง นิยมใช้กับการตกแต่งของโรมแรม 5 ดาวขึ้นไป บ้านพักอาศัยที่ต้องการแสดงถึงความแตกต่างเหนือระดับ ไม่เหมือนใคร และผ้าแบบนี้ไม่สามารถหาได้ง่ายในท้องตลาดทั่วๆ ไป

      สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า สลาฟ

      สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า รัก เอ่ยไม่ใช้ สลาฟ ต่างหาก เราไปดูกันว่าเจ้า สลาฟ นี้มันคืออะไรกัน ไปดูกันเลย

      เราคือเส้นด้ายที่ผลิตด้วยกระบวนการพิเศษที่เลียบแบบลักษณะเส้นด้ายปั่นด้วยมือ Handspun นั้นเอง ซึ่งจะมีความหนาบาง เป็นปุ่มปม เมื่อนำมาทอ ซึ่งจะทำให้มีลักษณะพิเศษคล้ายกับลักษณะธรรมชาติของด้ายที่มาจากการปั้นด้วยมือ

      เส้นด้ายสลาฟในระบบการทอแบบอุสาหกรรมมันไม่ใช่ตำหนื แต่มันคือความตั้งใจเพื่อให้เข้าถึงมนต์เสน่ห์ของงานคราฟต์ (Craft) ในราคาที่จับต้องได้ และมีความแข็งแรง และความแน่นในการทอได้มาตรฐานตามกระบวนการผลิตในระบบอุตสหกรรมเคหะสิ่งทอ

      ผ้านิทัสที่มีเทคนิคการใช้เส้นด้ายสลาฟ Slub Yarn มีผืนไหนที่น่าสนใจบ้างไปดูกันเลย

      ผ้าม่าน Curtain


      ผ้าม่านกันแสงหน้ากว้าง Wide Width Dim-out

      ผ้าม่านทึบแสง Blackout


      ผ้าม่านโปร่ง Sheer


      ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ Upholstery