fbpx

TISI หรือ มอก. ที่เกี่ยวกับการทดสอบสิ่งทอ

TISI Certification หมายถึงการรับรองคุณภาพสินค้าและบริการโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าและบริการอุตสาหกรรม (TISI) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานสินค้าและบริการในประเทศไทย เพื่อให้การผลิตและใช้งานสินค้าและบริการเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจน และมีคุณภาพสูงสุด โดย TISI Certification จะให้การรับรองคุณภาพต่าง ๆ ได้แก่ การรับรองสินค้าตามมาตรฐาน TISI, การรับรองสินค้าตามมาตรฐานชั้นนำของต่างประเทศ เช่น ISO, IEC, EN, UL, และการรับรองคุณภาพการบริการตามมาตรฐาน TISI Service ซึ่งมีไว้สำหรับบริการต่าง ๆ

ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามาตรฐาน TISI หรือ มอก. นี้มีมาตรอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการทดสอบผ้า เช่น เส้นใย เส้นด้าย ชนิดของสีย้อม ลักษณะทางกายภาพของผืนผ้า ความกว้างความยาว ความแข็งแรง หรือ การทดสอบความซีดจางของผ้าต่อปัจจัยต่างๆ หรือการทดความคงทนต่อการขัดถู ซึ่งเป็นการทดสอบสำคัญของผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เราได้รวบรวบไว้ทั้งหมดดังต่อไปนี้

มอก. 121วิธีทดสอบสิ่งทอ / Standard test methods for textiles
เล่ม 2-2552 ความคงทนของสีต่อแสงซีนอนอาร์ก
Colour fastness to xenon arc light
เล่ม 3-2552ความคงทนของสีต่อการซักด้วยสบู่ หรือ สบู่และโซดา
Color fastness to washing with soap or soap and soda
เล่ม 4-2552ความคงทนของสีต่อเหงื่อ
Color fastness to perspiration
เล่ม 5-2552ความคงทนของสีต่อการขัดถู
Standard test methods for textiles part 5 colour fastness to rubbing
เล่ม 6-2552ขนาดเส้นด้าย
Determination of linear density of yarn
เล่ม 7-2552เกลียวของเส้นด้าย
Twist in yarns
เล่ม 8-2553แรงดึงและการยืดที่ทำให้เส้นด้ายขาด
Yarns from packages-determination of single-end breaking force and elongation at break
เล่ม 9-2552แรงดึงสูงสุดและการยืดของผ้าที่แรงดึงสูงสุด โดยวิธีดึงเต็มหน้ากว้างของชิ้นทดสอบ
Tensile properties of fabrics-determination of maximum force and elongation at maximum force using the strip method
เล่ม 10-2553ความกว้างของผ้า
Determination of fabric width
 เล่ม 11-2553ความยาวของผ้า
Determination of fabric length
เล่ม 12-2553มวลของผ้าทอต่อหน่วยความยาว และมวลของผ้าทอต่อหน่วยพื้นที่
Woven fabrics-determination of mass per unit length and mass per unit area
เล่ม 13-2553จำนวนเส้นด้ายต่อหน่วยความยาวของผ้าทอ
Woven fabrics-determination of number of threads per unit length
เล่ม 14-2552การประเมินการเปลี่ยนสีและการเปื้อนสี โดยใช้เกรย์สเกลและเครื่องมือ
Grey scale and instrumental assessment of colour change and staining
เล่ม 15-2554ชนิดเส้นใย
Identification of fibers
  เล่ม 16-2553แรงดึงสูงสุดของผ้าโดยวิธีแกรบ
Tensile properties of fabrics determination of maximum force using the grab method
เล่ม 17-2553แรงฉีกขาดของผ้าทอโดยใช้เครื่องทดสอบแรงดึงชนิดอัตรายืดคงที่
Determination of tear force of fabrics using constant rate of extension testing machine
เล่ม 18-2553แรงฉีกขาดของผ้าทอโดยใช้เครื่องทดสอบแบบเอลเมนดอร์ฟ
Determination of tear force of fabrics using ballistic pendulum method (Elmendorf)
  เล่ม 20-2552การเปลี่ยนแปลงขนาดของผ้าเมื่อแช่น้ำเย็น
Determination of dimensional changes of fabrics induced by cold–water immersion
 เล่ม 21-2552การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและทำให้แห้ง
Determination of dimensional changes in washing and drying
เล่ม 22-2552การต้านการเปียกน้ำของผิวผ้าโดยวิธีพ่นน้ำ
Resistance to surface wetting: spray test
เล่ม 23-2552ความต้านน้ำซึมโดยใช้เครื่องทดสอบแบบความดันน้ำสถิต
Determination of resestance to water penetration-hydrostatic pressure test
เล่ม 24-2553ความหนาของผ้า
Thickness of fabrics
เล่ม 25-2552ความคงทนของสีต่อน้ำ
Colour fastness to water
เล่ม 26-2552ส่วนผสมของเส้นใย 2 ชนิด
Binary mixtures of fibres
เล่ม 27-2552แรงดึงตะเข็บของผ้าและวัสดุสิ่งทอ
Seam tensile properties of fabrics and made-up textile articles
เล่ม 28-2552ความต้านทานการลื่นของเส้นด้ายในผ้าทอที่ตะเข็บ
Determination of the slippage resistance of yarns at a seam in woven fabrics
 เล่ม 29-2554การประเมินการต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ (วิธีเชิงคุณภาพ)
Textile fabrics-assessment of antibacterial activity (qualitative method)
เล่ม 30-2554การประเมินการต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ (วิธีเชิงปริมาณ)
Textile fabrics-assessment of antibacterial activity (quatitative method)
เล่ม 31-2553การติดไฟของเสื้อผ้า
Flammability testing of clothing textiles
 เล่ม 32-2556ความเป็นกรด-ด่างของสารสกัดด้วยน้ำ
Determination of pH of aqueous extract
เล่ม 33-2556ฟอร์แมลดีไฮด์อิสระและฟอร์แมลดีไฮด์จากการแยกสลายโดยวิธีสกัดด้วยน้ำ
Determination of formaldehyde (free and hydrolysed formaldehyde) – water extraction method
เล่ม 34-2556การขึ้นขนและเม็ดที่ผิวผ้าโดยวิธีโมดิไฟด์มาร์ทินเดล
Determination of fabric propensity to surface fuzzing and to pilling : modified martindale method
เล่ม 35-2556ความคงทนของสีต่อการกดทับด้วยความร้อน
Colour fastness to hot pressing

Technical Details Outdoor Fabric

Outdoor Fabric ผ้าสำหรับใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบและดูแลเป็นพิเศษสำหรับใช้ในงานกลางแจ้ง เช่น เฟอร์นิเจอร์นอกชาน เบาะรองนั่ง ร่ม กันสาด ผ้าคลุมเรือ และเต็นท์ ผ้าเหล่านี้มักทำจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น Acrylic, Polyester, Nylon หรือ Vinyl ซึ่งมีความทนทานสูง ทนต่อแสงแดดและสภาพอากาศ และทนต่อความชื้น ความร้อน และความเย็นได้

คุณสมบัติทั่วไปบางประการของผ้ากลางแจ้ง ได้แก่ :

  1. Water repellent สะท้อนน้ำ : ผ้าที่ใช้กลางแจ้งมักได้รับการเคลือบด้วยสารไม่ซับน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าสู่เนื้อผ้าและทำให้เกิดความเสียหาย
  2. UV resistance ทนทานต่อรังสียูวี : ผ้าที่ใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบมาให้ต้านทานการซีดจางและการเสื่อมสภาพจากการสัมผัสกับแสงแดด
  3. Mildew resistance ทนต่อการขึ้นรา : ผ้ากลางแจ้งมักได้รับการบำบัดด้วยสารต่อต้านจุลินทรีย์เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและโรคราน้ำค้าง
  4. Durability ความทนทาน: ผ้าที่ใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อการสึกหรอ จึงมักทำจากวัสดุที่ใช้งานหนักซึ่งสามารถรองรับการใช้งานและการใช้งานในทางที่ผิดได้ในระดับสูง
  5. Easy maintenance ดูแลรักษาง่าย: ผ้าสำหรับใช้กลางแจ้งหลายชนิดได้รับการออกแบบมาให้ทำความสะอาดได้ง่าย โดยมักใช้ผ้าหมาดเช็ดง่ายๆ

เมื่อเลือกผ้าที่ใช้กลางแจ้ง สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงจุดประสงค์การใช้งานและเงื่อนไขที่จะต้องสัมผัส การเลือกผ้าสำหรับกลางแจ้งคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อความต้องการของคุณโดยเฉพาะสามารถช่วยให้มั่นใจได้ว่าเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง เบาะรองนั่ง และสิ่งของอื่นๆ ของคุณจะคงอยู่ไปอีกนานหลายปี

TECHNICAL DETAILS

10724 SKYLINE

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Polyester
Weight น้ำหนัก315 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
ISO 12947-2:201630,000 cycles
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
ISO 105-B02:20147-8 (max 8)

10725 SUNNY, 10726 SUNNY, 10727 SUNNY, 10728 SUNNY

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Solution Dyed Olefin
Weight น้ำหนัก190 g/sqm
Finishing ตกแต่งสำเร็จTeflon®  Water Repellent
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
UNE EN ISO 12947-220,000 cycles
Colour Fastness to Chlorinated Water
ความคงทนของสีต่อน้ำคลอรีน
UNE EN ISO 105-E03:19975 (max 5)
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
UNE EN ISO 105-B02:2014 
AATCC 16.3
>7 (max 8)
4-5 (max 5)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
UNE EN ISO 105-X12:19964-5 (max 5)
 Dimensional Stability to Washing
 การเปลี่ยนแปลงขนาดหลังการซัก
UNE EN 25077:1996Weft -0.4%
Warp -0.3%
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
UNE EN ISO 12945-25 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2Weft 3.0 mm
Warp 3.0 mm
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
UNE EN ISO 13937-3Warp 73.9 N
Weft 43.2 N
Tensile Strength (Strip Test)
ทดสอบแรงดึงขาด
UNE EN ISO 13934-1Warp 1647 N
Weft 750 N
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
UNE EN ISO 24920
5 (max 5)

30006 ALFRESCO & 30007 PLAYGROUND

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Acrylic Fiber Dyed
Weight น้ำหนัก190 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
DIN EN ISO 12947-225,000 cycles
Amines of Azo Colorants – ExtractionDIN EN 14362-1<5 mg/kg
(lagal limit 30 mg/kg)
Colour Fastness to Chlorinated Water ความคงทนของสีต่อน้ำคลอรีนDIN EN ISO 105-E034 (max 5)
Colour Fastness to Hot Pressing
ความคงทนของสีต่อ
การกดทับด้วยความร้อน
ISO 105-X11:19975 (max 5)
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B026-7 (max 8)
Depending colour
Colour Fastness to Perspiration
ความคงทนของสีต่อเหงื่อ
BS EN ISO 105-E04:2009PH 5.5 Acid: 4-5
PH 8 Alkaline: 4-5
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
ISO 105-X12:20035 (max 5)
Colour Fastness to Washing
ความคงทนของสีต่อการซัก
ISO 105-C06:20105 (max 5)
Colour Fastness to Sea Water
ความคงทนของสีต่อน้ำทะเล
DIN EN ISO 105-E025 (max 5)
 Dimensional Stability to Washing
 การเปลี่ยนแปลงขนาดหลังการซัก
ISO 5077:2007Warp -0.5%
Weft -2.0%
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
BS 5852-1
UNE1021-1
BS 7176 Low Hazard
PASS
Oil Repellency (Teflon®)
ความสะท้อนน้ำมัน
ISO 14419
AATCC 118:2007
6 (max 8)
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
ISO 12945-2:20014 (max 5)
 Seam Properties (Strength)
สมรรถนะของตะเข็บ
BS EN ISO 13935-2:1999Warp 56.8 kg STP
Weft 30.0 kg STP
Tensile Strength (Strip Test)
ทดสอบแรงดึงขาด
EN ISO 13934-1Warp 101 kg
Wefte 55 kg
 Ultra Violet Transmission/UPF
การป้องกันรังสียูวี
AS/NZS 4399/1996UV40 Standard 801
Water Repellency
(Spray Test-Teflon® )
ความสะท้อนน้ำ
ISO 4920
AATCC 22-2010
90

30035 CRUISES

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Olefin
Weight น้ำหนัก367 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
EN ISO 12947-2:199813,000 cycles
Anti-Bacterial
ต้านเชื้อแบคทีเรีย
JIS L 1902Reduction 99% Effective
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B02:19947-8 (max 8)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
BS EN 105-X12:20014-5 (max 5)
Colour Fastness to UV
ความคงทนของสีต่อแสง UV
ASTM G1544-5 (max 5)
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
NFPA 260,
CAL 117
BS 5852 Source 0
EN ISO 1021-1
PASS
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
EN ISO 12945-2:20004 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2:2004Weft 2.5 mm
Warp 3.0 mm
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
BS EN ISO 49204-5 (max 5)
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
BS EN ISO 13937-1:2000Warp 5901 g
Weft 6620 g

30070 ISTANBUL30071 GALATA, 30072 TOPKAPI, 30073 BOSPHORUS

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Olefin
Weight น้ำหนัก198-343 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
EN ISO 12947-2:199830070: 18,000 cycles
30071: 20,000 cycles
30072: 50,000 cycles
30073: 50,500 cycles
Anti-Bacterial
ต้านเชื้อแบคทีเรีย
JIS L 1902Reduction 99% Effective
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B02:19947-8 (max 8)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
BS EN 105-X12:2001Dry 4-5 (max 5)
Wet 4-5 (max 5)
Colour Fastness to UV
ความคงทนของสีต่อแสง UV
ASTM G1544-5 (max 5)
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
NFPA 260,
CAL 117
BS 5852 Source 0
EN ISO 1021-1
PASS
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
EN ISO 12945-2:20004 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2:200430070:
Weft 2.7 mm, Warp 3.0 mm
30071:
Weft 4.8 mm, Warp 4.6 mm
30072:
Weft 4.8 mm, Warp 4.6 mm
30073:
Weft 3.0 mm, Warp 3.8 mm 
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
BS EN ISO 49204-5 (max 5)
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
BS EN ISO 13937-1:200030070:
Warp 5920 g, Weft 6664 g
30071:
Warp 5760 g, Weft 6550 g
30072:
Warp 5930 g, Weft 6750 g
30073:
Warp 5980 g, Weft 6720 g

ตัวอักษรย่อในส่วนประกอบเนื้อผ้า

บางทีเวลาเราเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที่ย่อ ในส่วนของ Care Lable หรือป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาผ้าที่ส่วนใหญ่มักจะบอกถึงส่วนประกอบของเส้นใยด้วยว่าผลิตจากเส้นใยชนิดใด ซึ่งในบางครั้งที่มีความจำกัดด้านเนื้อที่เลยจำเป็นต้องเขียนย่อ ซึ่งบางทีอาจทำให้เราไม่แน่ใจว่าตัวย่อที่เราเห็นนั้น เราเข้าใจถูกหรือไม่ วันนี้เราไปดูกันดีกว่าตัวย่อนั้นๆ หมายความว่าอะไรกันบ้าง

ในส่วนตัวย่อข้างบนนั้นเป็นการย่อในวงการผ้าเท่านั้น ซึ่งจะมีวัสดุกลุ่มเส้นใยโพลิเมอร์ หรือพลาสติกบางตัวที่อาจไม่ต้องกับการย่อสากลที่เราคุ้นเคยตามตัวอย่างด้านล่างนี้


EVERYWHERE B Collection

EVERYWHERE B UPHOLSTERY COLLECTION
เอฟเวอรี่ แวร์ เล่มรวมผ้าบุเฟอร์นิเจอร์สะท้อนน้ำ

การย้อมผ้า Fabric Dyeing

การย้อมผ้าเป็นกระบวนการให้สีแก่สิ่งทอโดยการจุ่มลงในสารละลายย้อมผ้า กระบวนการย้อมสีสามารถทำได้โดยใช้สีธรรมชาติหรือสีสังเคราะห์ การย้อมสีผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอมีหลายขั้นตอน แต่โดยรวมแล้วมีขั้นตอนดังนี้

  1. การเตรียม Preparation: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการเตรียมผ้าสำหรับการย้อม ผ้าจะทำความสะอาดก่อนเพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน หรือสิ่งเจือปนที่อาจขัดขวางการดูดซึมสีย้อม สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การซัก การขัด หรือการฟอกสี
  2. การย้อมสี Dyeing: จากนั้นผ้าจะถูกจุ่มลงในสารละลายย้อม และโมเลกุลของสีย้อมจะถูกดูดซับโดยผ้า สารละลายสีย้อมสามารถนำไปใช้กับผ้าได้โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การย้อมแบบจุ่ม ซึ่งผ้าจะจมอยู่ในสารละลายสีย้อมทั้งหมด หรือการพิมพ์ ซึ่งใช้สารละลายสีย้อมในรูปแบบเฉพาะ
  3. การตรึงสี Fixation: หลังจากการย้อม ผ้าจะได้รับการบำบัดด้วยสารตรึงเพื่อให้แน่ใจว่าโมเลกุลของสีย้อมติดอยู่กับเส้นใยผ้าและไม่ล้างออกง่าย กระบวนการนี้เรียกว่า Fixation การตรึงสี และมักจะทำโดยใช้สารเคมี เช่น เกลือ น้ำส้มสายชู หรือเกลือโลหะอื่นๆ
  4. การล้างสี Washing: หลังจากการตรึง ผ้าจะถูกซักเพื่อขจัดสีย้อมหรือสารยึดเกาะส่วนเกินออกจากผ้า สิ่งนี้ทำเพื่อให้แน่ใจว่าสีย้อมจะไม่ตกหรือสีซีดจางเมื่อใช้หรือซักผ้า
  5. การตกแต่งสำเร็จ Finishing: ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการย้อมผ้าเกี่ยวข้องกับการตกแต่งผ้าเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความนุ่มนวล ความมันเงา หรือการต้านทานรอยยับ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การทำปฏิทิน ซึ่งผ้าถูกส่งผ่านระหว่างลูกกลิ้งที่ให้ความร้อน หรือการเคลือบโดยที่ชั้นบางๆ ของโพลิเมอร์ถูกนำไปใช้กับพื้นผิวของผ้า

ชนิดของสีย้อม Dyeing Type

Acid Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้กรดเป็นส่วนผสมในการตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้มักใช้ในการย้อมผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม และเส้นใยโปรตีนอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 60-80°C
  • Water-Based
  • pH 3-4
  • Process Immersion Dyeing การย้อมแบบแช่

Basic Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้สารละลายพื้นฐานเป็นสารประสมเพื่อตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมอะคริลิกและใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 90-100°C
  • Water-Based
  • pH 9-10
  • Process Exhaustion Dyeing

Disperse Dyeing

กระบวนการย้อมที่ใช้สีดิสเพอร์ส ซึ่งจะกระจายตัวในตัวทำละลายก่อนนำไปใช้กับผ้า วิธีนี้มักใช้สำหรับการย้อมโพลีเอสเตอร์ ไนลอน และใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 120-140°C
  • Oil-Based
  • pH 6-7
  • Process High-Temperature Dyeing

Direct Dyeing

กระบวนการย้อมแบบง่ายๆ ที่ย้อมลงบนผ้าโดยตรงโดยไม่ต้องใช้สารยึดเกาะหรือสารยึดเกาะ การย้อมสีโดยตรงเหมาะสำหรับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ไหม และขนสัตว์

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 6-7
  • Process Immersion Dyeing

Vat Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้ถังเก็บสารละลายสีย้อม ผ้าจะถูกแช่ในสารรีดิวซ์ก่อน ซึ่งจะเปลี่ยนสีย้อมให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ จากนั้นนำผ้าไปแช่ในถัง ซึ่งเส้นใยผ้าจะดูดซับสีย้อมไว้ วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าเดนิม หรือผ้ายีนส์ และผ้าฝ้ายอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-11
  • Process Reduction Dyeing

Reactive Dyeing

การย้อมด้วยปฏิกิริยา: กระบวนการย้อมที่ใช้สีรีแอกทีฟซึ่งสร้างพันธะโควาเลนต์กับเส้นใยผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และผ้าไหม

  • อุณหภูมิในการย้อม 20-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-12
  • Process Exhaustion Dyeing


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

#นิทัสผ้าม่านที่ UrBoy TJ เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณ Urboy TJ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #Blackout #มูลี่ไม้

  • ชมคลิป: TJ’S HOUSE EP14 : HOME TOUR พาดูทั้งบ้าน รีวิวทุกห้อง
  • คลิปเต็มได้ที่ https://youtu.be/3fhOtWSLdA8
  • ชมคลิป: Home Tour TJ’S HOUSE EP11 : บุกโชว์รูม ม่านกันโควิดที่เดียวในไทย
  • คลิปเต็มได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=rP2sDqDbU2U

ช่องยูทูป https://www.youtube.com/@UrboyTJChannel

เลือกสีให้เข้ากับห้องต่างๆ

การเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับห้องสามารถส่งผลอย่างมากต่อรูปลักษณ์โดยรวมของพื้นที่ หลักเกณฑ์ทั่วไปในการเลือกสีสำหรับห้องต่างๆ มีดังนี้

สีน้ำตาล

Living Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Classic, modern, or eclectic style, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Beige, white, gray, navy blue, bright or patterned
  • สีผนังห้อง: Neutral tones or complementary colors to balance the room

Bedroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Romantic or cozy style, soft and flowing fabrics, floor-length curtains
  • สีสันลวดลาย: Light blue, lavender, blush pink, dark or bold colors
  • สีผนังห้อง: Soft and calming colors or complementary colors to the bedding

Kitchen

  • ผ้าม่านสไตล์: Simple and functional style, light and airy fabrics, cafe curtains or valances
  • สีสันลวดลาย: Bright and cheerful colors like yellow, red, or green
  • สีผนังห้อง: Light and airy colors like white, beige, or light blue

Bathroom

  • ผ้าม่านสไตล์: Subtle patterns or textured fabrics, sheer or semi-sheer white curtains
  • สีสันลวดลาย: Sheer or semi-sheer white, shades of blue or green
  • สีผนังห้อง: Neutral colors or shades of blue or green for a calming atmosphere

Dining Room

  • ผ้าม่านสไตล์: Elegant and formal style, luxurious fabrics like velvet or silk, floor-length curtains with decorative details like tassels or fringes
  • สีสันลวดลาย: Rich and luxurious colors like red, purple, or gold, bold patterns
  • สีผนังห้อง: Neutral tones, warm shades, or complementary colors to the furniture

“น้ำตาล หรือ เทา” จบๆ!!!

ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งของการเลือกแบบ เลือกสไตล์ เลือกวัสดุ ในการตกแต่งห้องคือไม่รู้จะตกแต่งแบบไหนดี เช่นเดียวกันการเลือกสี ก็เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเหมือนกัน

ฉนั้น วันนี้มีทางเลือกง่ายๆ ของโทนสี ที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกโทนสีในการตกแต่งไปใน 2 ทางคือ โทนน้ำตาล และโทนเทา เพราะทั้งสีน้ำตาล และสีเทา เป็นสีเป็นกลางในการออกแบบตกแต่งภายใน เป็นสีพื้นเข้าได้กับทุกสไตล์การตกแต่งและไร้กาลเวลาสำหรับสไตล์การออกแบบที่หลากหลาย โดยหลักการง่ายๆ ดังนี้

  • ความซับซ้อน: สีโทนน้ำตาลและเทา ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความรู้สึกซับซ้อน ดูสง่างาม ใช้ร่วมกับวัสดุต่างๆ สร้างบรรยากาศได้หลากหลาย ทั้งความหรูหรา ทันสมัย และดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
  • ความยืดหยุ่น: สีโทนน้ำตาลและเทา สามารถจับคู่กับสี ลวดลาย และพื้นผิวอื่นๆ ได้ง่าย เสมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า สามารถแต่งแต็ม เน้นจุดสำคัญ หรือ ทำให้กลมกลืนได้ง่าย สามารถใช้กับโทนสีอบอุ่นหรือโทนเย็นได้ และเข้าได้กับฤดูกาล แม้กระทั้งเทรนด์การตกแต่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็ตาม
  • ไร้กาลเวลา: สีโทนน้ำตาลและเทา มีความคลาสสิก และไร้กาลเวลา เข้ากับการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการใช้โทนสีที่เป็นกลาง คุณสามารถสร้างการออกแบบที่ไม่เคยตกยุคและให้ความรู้สึกเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • ความกลมกลืน: สีโทนน้ำตาลและเทา เมื่อใช้ร่วมกับสีกลางอื่นๆ หรือในเฉดสีต่างๆ สีน้ำตาลและสีเทาสามารถสร้างการออกแบบที่กลมกลืนและเหนียวแน่น สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและสมดุลในพื้นที่
  • พื้นผิว: สีโทนน้ำตาลและเทา เป็นสีที่อยู่ในเนื้อของวัสดุ โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ไม้ และโลหะ สามารถเน้นพื้นผิวของวัสดุให้เป็นจุดเด่น หรือเป็นองค์ประกอบโดยรวมได้ สร้างความเป็นมิติ และความน่าสนใจในการออกแบบได้อย่างง่ายๆ

ความหมายในเชิงความรู้สึก และสไตล์การตกแต่ง

สีโทนน้ำตาล

  • ความรู้สึก: Warmth, Comfort, Stability, Earthiness, Naturalness
  • การออกแบบตกแต่ง: Rustic, Vintage, Bohemian, Organic, Traditional
  • สไตล์: Casual, Relaxed, Cozy, Down-To-Earth, Timeless
  • วัสดุ: ไม้จริง และลายไม้ พื้น และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, อิฐ, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยางลายไม้, สีทาผนัง, โลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง รวมถึงการทำสี เช่น โรสโกลด์, กระจกเงารมทอง, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

สีโทนเทา

  • ความรู้สึก: Neutrality, Calmness, Sophistication, Balance, Professionalism
  • การออกแบบตกแต่ง: Modern, Minimalistic, Industrial, Elegant, Chic
  • สไตล์: Formal, Sophisticated, Refined, Sleek, Timeless
  • วัสดุ: ไม้ทำสี การเผาผิวหน้าไม้ และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, สีทาผนัง, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยาง, โลหะ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส และการทำสี, กระจกเงารมดำ, ปูนเปลือย-ขัดมัน, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

กฏ 80%/20%

กฎ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” (Pareto principle) หรือสัดส่วน 80/20 (Law of the vital few) หมายถึง ส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่สำคัญและส่งผลต่อส่วนอื่นๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันของทั้งสองโทน โดยให้สัดส่วนของสีที่มากน้อยต่างกัน

จากรูป การตกแต่งเป็นสีน้ำตาล, และมีการใช้สีเทา ในสัดส่วน 50/50

จากรูป การตกแต่งโดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล, เบจ สีน้ำตาลจากวัสดุไม้พื้นน และตกแต่งผนัง และมีการใช้สีเทาเข้ม ที่เป็นผ้าม่าน สีดำของชั้นวางทีวี มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล ครีม เบจและมีการใช้สีเทาของวัสดุหินอ่อน มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างโต๊ะไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา, ขาว และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างพื้นไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

การเพิ่มสีธรรมชาติอย่างสีเขียวของต้นไม้, ใบไม้ เป็นสีที่ 3 ช่วยพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และยังสร้างความมีชีวิจชีวา ให้กับการตกแต่งอีกด้วย

เช่นเดียวกันเราสามารถเพิ่มสีที่ตัดกันเข้าไปใช่สัดส่วน 80/20 ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าสนใจได้อย่างมาก

จากรูป เราสามารถเพิ่มสีที่ 3 ลงไป เพื่อสร้างความนี้สนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสัดส่วน 70/20/10


หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ แนวไอเดียนำไปใช้ในการตกแต่งห้อง กับโทนสีน้ำตาล และสีเทาแนะนำเป็นตัวอย่างนะครับ ^ ^

บทความโดย: ทายาท เตชะสุวรรณ์ นักออกแบบ

#นิทัสผ้าม่านที่ PIGLET เลือกใช้

นิทัสผ้าม่านที่ดาราและอินฟลูเลือกใช้

ขอบคุณ คุณพิกเล็ท คุณเนย คุณแจม เนโกะจัมพ์ ที่เลือกใช้ผ้าม่านคุณภาพ ผ้าม่านนิทัส ทั้งหลัง

#Nitastessile #นิทัสผ้าม่าน #คิดถึงผ้าม่านคิดถึงนิทัส #ม่านกันแสง #Dimout #ม่านทึบแสง #มูลี่ไม้ #WoodenBlind 

รับชมคลิป: Home Tour บ้านเสร็จแล้ว~ ถ่ายรูปได้ทุกมุม บ้านแห่งการคุมโทน!! 🎄

หน้าม่วงหน้าเขียว ความลับคือค่า Color Rendering Index (CRI)

เคยเป็นไหมเวลาเราส่องกระจก หรือถ่ายรูปตัวเราเอง ถ่ายรูปสิ่งของที่เราอยากโชว์ลงสื่อโซเชียว แต่รูปที่ได้มากลายสีเพี้ยนๆ เป็นสีอมม่วง อมเชียว ทั้งๆที่เราก็ใส่มือถือรุ่นใหม่แบรนด์ดัง หรือเรารู้สึกว่า ทำไมเสื้อผ้าที่เราซื้อกลับมาลองใส่อีกครั้งที่บ้าน ไม่สวยสดใส เหมือนกับลองที่ร้าน หรือผัก-ผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ ทำไมมันสีสวยน่าทานมากกว่าร้านขายผลไม้ ติดไฟ LED ทรงใบพัดตามข้างทาง ทั้งๆ ที่ ความสว่าง และอุณหภูมิแสง เดย์ไลท์/วอร์มไวท์ (แสงขาว/แสงเหลือง) ก็เหมือนๆ กัน ค่า CRI (Color Rendering Index) คือคำตอบนั้นเอง ค่า CRI ค่าความถูกต้องของสี เป็นค่าชี้วัดว่าแหล่งกำเนิดแสงส่องสว่างสีของวัตถุได้แม่นยำเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงตามธรรมชาติหรือ แสงแดด

CRI วัดจากระดับ 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงแสดงว่าแสดงสีได้ดีขึ้น คะแนน CRI 100 แสดงถึงการแสดงสีที่สมบูรณ์แบบ หมายความว่าสีของวัตถุได้รับการส่องสว่างอย่างแม่นยำและไม่ผิดเพี้ยน

CRI มีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ความถูกต้องของสีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ในหอศิลป์ สตูดิโอถ่ายภาพ และโชว์รูม หรือร้านขายสินค้า หรืออุตสาหกรรม ที่ต้องการความถูกต้องของสีสูงๆ เช่น การเทียบสีของ สิ่งทอ หรือ การเปรียบสีของรอบการผลิตที่ต่างกัน เป็นต้น

CRI ต่ำ (ค่าความถูกต้องสี) สามารถทำให้วัตถุดูหม่นหมอง ซีดจาง หรือมีสีผิดเพี้ยนได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำไม่สามารถแสดงสีของวัตถุที่ส่องสว่างได้อย่างถูกต้อง

เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ สีบางสีในสเปกตรัมจะถูกดูดกลืนโดยวัตถุ ในขณะที่สีอื่นจะสะท้อนกลับ แหล่งกำเนิดแสง CRI สูงจะสร้างสเปกตรัมของสีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแสดงสีที่แท้จริงของวัตถุได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน แหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำจะสร้างสเปกตรัมของสีที่จำกัด ส่งผลให้การสร้างสีไม่แม่นยำ เช่น การจับคู่สีสิ่งทอแหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำอาจทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างเฉดสีที่คล้ายกันหรือตรวจจับความแตกต่างเล็กน้อยของสีได้ยาก ในร้านค้าปลีกหรือพิพิธภัณฑ์ แหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำอาจทำให้สินค้าหรือการจัดแสดงดูน่าสนใจน้อยลง

ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว หลอดไฟ CRI สูงจึงเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานที่เน้นสี เช่น การจับคู่สี การถ่ายภาพ โชว์รูมสินค้าแฟชั่น โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน

ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หลอดไฟยี่ห้อต่างๆ ที่ ระบุค่า CRI

ฉนั้นคั้งต่อไปในการเลือกซื้อหลอดไฟ นอกจาก กำลังไฟ เรื่องความสว่าง อุณหภูมิแสแล้ว เราควรสังเกตุค่า CRI ความถูกต้องของสี รวมด้วย แม้กระทั่งในบ้านของเรา เช่นห้องน้ำ ห้องแต่งตัว แสงสว่างที่กระจกแต่งหน้า หรือห้องรับแขก โดยทั่วไป ค่า CRI เท่ากับ หรือ มากกว่า 80 ขึ้นไป ถือเป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับหลอดไฟที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน ซึ่งรับรองว่าคุณจะรู้สึกว่า บ้านของคุณดูมีชีวิตชีวา ขึ้นมาอีกครั้งเลยที่เดียว ในทางกลับกันหลอดไฟที่ค่า CRI ต่ำ มักจะมีราคาถูก และไม่เขียนค่าดังกล่าวโชว์ไว้ที่หน้าบรรจุภัณฑ์