fbpx

ผ้ากันน้ำ คืออะไร ?

‘ผ้ากันน้ำ’ เป็นผ้าที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ ซึ่งผ่านการตกแต่งพิเศษ หรือเคลือบสารบางชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมลงเนื้อผ้าได้  โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • Water Repellent สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ในรูปแบบง่ายๆ คือ เมื่อมีน้ำสัมผัสกับผ้า น้ำจะไม่สามารถซึมผ่านผ้านั้นได้ระยะเวลาหนึ่ง  เหมือนน้ำที่กลิ้งบนใบบัว แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำความสะอาดสักพัก น้ำนั้นจะซึมลงบนตัวผ้า ทำให้ผ้าชื้นและเปียก นิยมนำมาใช้กับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เพราะเป็นการตกแต่งพิเศษที่เพิ่มคุณสมบัติให้กับเนื้อผ้า โดยไม่ทำให้ผิวสัมผัสของเนื้อผ้าแตกต่างจากเดิมมาก
  • Water Proof ต่างจาก Water Repellent คือตัวเนื้อผ้ามีลักษณะกันการซึมลงของ ของเหลวไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือไวน์ หรืออะไรก็ตาม จะไม่สามารถซึมผ่านผ้า หรือวัสดุดังกล่าวได้ 100% และทำให้วัสดุ ในชั้นถัดไปไม่ว่าจะเป็น เบาะรอง จะไม่ได้รับความเสียหาย เช่นการเปื้อนที่ไม่สามารถนำไปซักได้ หรือ แม้กระทั่งการก่อให้เกิดการขึ้นรา ก็ตาม โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเคลือบฟิล์มบางๆ เคลือบไปที่ผิวหน้า หรือไม่ก็มีการเคลือบไว้ด้านหลัง หรือแม้กระทั่งตัววัสดุเองมีลักษณะเป็นแผ่น ที่ไม่สามารถให้น้ำผ่านได้ เช่น พวกหนังเทียม เป็นต้น แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ แม้ว่าตัวผ้าหรือวัสดุนี้จะเป็นคุณสมบัติการกันได้ 100% แต่ในกระบวนการผลิตขึ้นชิ้นงานที่มีการตัดเย็บ ซึ่งจะทำให้เกิดรูเล็กๆ ตามตะเข็บตามรอยต่อ ฉนั้นอาจทำให้ความชื้น หรือของเหลวซึมผ่านไปได้ ในจุด จุดนั้น ฉนั้น ไม่ควรนำผ้ากันน้ำดังกล่าวไปใช้ และทิ้งไว้ ให้ได้รับความชื้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การตากฝน หรือ แม้ทำน้ำหกแล้ว ก็ควรเช็ดทำความสะอาดทันที

ความแตกต่างหลักระหว่าง Water Proof และ Water Repellent คือการซึมของน้ำ

วัสดุที่มีลักษณะ Water Proof หรือกันน้ำการออกแบบมาเพื่อป้องกันการแทรกซึมของน้ำอย่างสมบูรณ์ แม้อยู่ภายใต้การสัมผัสเป็นเวลานาน ซึ่งหมายความว่าวัสดุกันน้ำสามารถจมอยู่ในน้ำได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ให้น้ำซึมผ่าน ในทางกลับกัน วัสดุที่มีคุณลักษณะ Water Repellent หรือสะท้อนน้ำ การออกแบบมาให้ต้านทานการซึมผ่านของน้ำ แต่ไม่จำเป็นต้องป้องกันได้ทั้งหมด วัสดุไม่ซับน้ำจะช่วยให้น้ำบางส่วนซึมผ่านได้หากสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน แต่ยังคงช่วยป้องกันฝนเล็กน้อยหรือน้ำกระเซ็นได้

ตัวอย่างเช่น ผ้ากันน้ำสามารถจมอยู่ในน้ำได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ให้น้ำซึมผ่าน ในขณะที่ผ้าสพท้อนน้ำสามารถทนต่อฝนเล็กน้อยและน้ำกระเซ็นได้ แต่ไม่สามารถสัมผัสกับฝนตกหนักเป็นเวลานาน โดยสรุป ผ้ากันน้ำ ป้องกันการแทรกซึมของน้ำได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ผ้าสะท้อนน้ำ จะต้านทานการซึมผ่านของน้ำในระดับต่างๆ

Water Repellency (Spray Test) Standard

  • ISO 4920 Determination of resistance to surface wetting (spray test)
  • EN 24920 Textiles – determination of resistance to surface wetting (spray test) of fabrics
  • AATCC 22 Test method for water repellency: spray
  • JIS L 1092 Testing methods for water resistance of textiles
  • TISI 121 book 22 การต้านการเปียกน้ำของผิวผ้าโดยวิธีพ่นน้ำ

มาตรฐานการทดสอบการสะท้อนน้ำ Water Repellent มีหลายมาตรฐานด้วยกันแต่ส่วนใหญ่จะมีการทดทอบแบบด้วยกันที่เรียกว่า Spray Test ตามรูปอุปกรณ์ด้านล่างนี้

และผลการทดสอบ โดยจะเทียบกับรูปตัวอย่างตามรูปด้านล่าง เพื่อเปรียบเทียบความว่าอยู่ในระดับใด


คุณสามารถทราบถึงคุณสมบัติดังกล่าวของผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ
จากการสังเกตุสัญลักษณ์ดังรูปด้านล่างนี้


ดูเล่มตัวอย่างผ้าสะท้อนน้ำ คลิก!!!


TISI หรือ มอก. ที่เกี่ยวกับการทดสอบสิ่งทอ

TISI Certification หมายถึงการรับรองคุณภาพสินค้าและบริการโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าและบริการอุตสาหกรรม (TISI) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานสินค้าและบริการในประเทศไทย เพื่อให้การผลิตและใช้งานสินค้าและบริการเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจน และมีคุณภาพสูงสุด โดย TISI Certification จะให้การรับรองคุณภาพต่าง ๆ ได้แก่ การรับรองสินค้าตามมาตรฐาน TISI, การรับรองสินค้าตามมาตรฐานชั้นนำของต่างประเทศ เช่น ISO, IEC, EN, UL, และการรับรองคุณภาพการบริการตามมาตรฐาน TISI Service ซึ่งมีไว้สำหรับบริการต่าง ๆ

ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามาตรฐาน TISI หรือ มอก. นี้มีมาตรอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการทดสอบผ้า เช่น เส้นใย เส้นด้าย ชนิดของสีย้อม ลักษณะทางกายภาพของผืนผ้า ความกว้างความยาว ความแข็งแรง หรือ การทดสอบความซีดจางของผ้าต่อปัจจัยต่างๆ หรือการทดความคงทนต่อการขัดถู ซึ่งเป็นการทดสอบสำคัญของผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เราได้รวบรวบไว้ทั้งหมดดังต่อไปนี้

มอก. 121วิธีทดสอบสิ่งทอ / Standard test methods for textiles
เล่ม 2-2552 ความคงทนของสีต่อแสงซีนอนอาร์ก
Colour fastness to xenon arc light
เล่ม 3-2552ความคงทนของสีต่อการซักด้วยสบู่ หรือ สบู่และโซดา
Color fastness to washing with soap or soap and soda
เล่ม 4-2552ความคงทนของสีต่อเหงื่อ
Color fastness to perspiration
เล่ม 5-2552ความคงทนของสีต่อการขัดถู
Standard test methods for textiles part 5 colour fastness to rubbing
เล่ม 6-2552ขนาดเส้นด้าย
Determination of linear density of yarn
เล่ม 7-2552เกลียวของเส้นด้าย
Twist in yarns
เล่ม 8-2553แรงดึงและการยืดที่ทำให้เส้นด้ายขาด
Yarns from packages-determination of single-end breaking force and elongation at break
เล่ม 9-2552แรงดึงสูงสุดและการยืดของผ้าที่แรงดึงสูงสุด โดยวิธีดึงเต็มหน้ากว้างของชิ้นทดสอบ
Tensile properties of fabrics-determination of maximum force and elongation at maximum force using the strip method
เล่ม 10-2553ความกว้างของผ้า
Determination of fabric width
 เล่ม 11-2553ความยาวของผ้า
Determination of fabric length
เล่ม 12-2553มวลของผ้าทอต่อหน่วยความยาว และมวลของผ้าทอต่อหน่วยพื้นที่
Woven fabrics-determination of mass per unit length and mass per unit area
เล่ม 13-2553จำนวนเส้นด้ายต่อหน่วยความยาวของผ้าทอ
Woven fabrics-determination of number of threads per unit length
เล่ม 14-2552การประเมินการเปลี่ยนสีและการเปื้อนสี โดยใช้เกรย์สเกลและเครื่องมือ
Grey scale and instrumental assessment of colour change and staining
เล่ม 15-2554ชนิดเส้นใย
Identification of fibers
  เล่ม 16-2553แรงดึงสูงสุดของผ้าโดยวิธีแกรบ
Tensile properties of fabrics determination of maximum force using the grab method
เล่ม 17-2553แรงฉีกขาดของผ้าทอโดยใช้เครื่องทดสอบแรงดึงชนิดอัตรายืดคงที่
Determination of tear force of fabrics using constant rate of extension testing machine
เล่ม 18-2553แรงฉีกขาดของผ้าทอโดยใช้เครื่องทดสอบแบบเอลเมนดอร์ฟ
Determination of tear force of fabrics using ballistic pendulum method (Elmendorf)
  เล่ม 20-2552การเปลี่ยนแปลงขนาดของผ้าเมื่อแช่น้ำเย็น
Determination of dimensional changes of fabrics induced by cold–water immersion
 เล่ม 21-2552การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและทำให้แห้ง
Determination of dimensional changes in washing and drying
เล่ม 22-2552การต้านการเปียกน้ำของผิวผ้าโดยวิธีพ่นน้ำ
Resistance to surface wetting: spray test
เล่ม 23-2552ความต้านน้ำซึมโดยใช้เครื่องทดสอบแบบความดันน้ำสถิต
Determination of resestance to water penetration-hydrostatic pressure test
เล่ม 24-2553ความหนาของผ้า
Thickness of fabrics
เล่ม 25-2552ความคงทนของสีต่อน้ำ
Colour fastness to water
เล่ม 26-2552ส่วนผสมของเส้นใย 2 ชนิด
Binary mixtures of fibres
เล่ม 27-2552แรงดึงตะเข็บของผ้าและวัสดุสิ่งทอ
Seam tensile properties of fabrics and made-up textile articles
เล่ม 28-2552ความต้านทานการลื่นของเส้นด้ายในผ้าทอที่ตะเข็บ
Determination of the slippage resistance of yarns at a seam in woven fabrics
 เล่ม 29-2554การประเมินการต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ (วิธีเชิงคุณภาพ)
Textile fabrics-assessment of antibacterial activity (qualitative method)
เล่ม 30-2554การประเมินการต้านแบคทีเรียของสิ่งทอ (วิธีเชิงปริมาณ)
Textile fabrics-assessment of antibacterial activity (quatitative method)
เล่ม 31-2553การติดไฟของเสื้อผ้า
Flammability testing of clothing textiles
 เล่ม 32-2556ความเป็นกรด-ด่างของสารสกัดด้วยน้ำ
Determination of pH of aqueous extract
เล่ม 33-2556ฟอร์แมลดีไฮด์อิสระและฟอร์แมลดีไฮด์จากการแยกสลายโดยวิธีสกัดด้วยน้ำ
Determination of formaldehyde (free and hydrolysed formaldehyde) – water extraction method
เล่ม 34-2556การขึ้นขนและเม็ดที่ผิวผ้าโดยวิธีโมดิไฟด์มาร์ทินเดล
Determination of fabric propensity to surface fuzzing and to pilling : modified martindale method
เล่ม 35-2556ความคงทนของสีต่อการกดทับด้วยความร้อน
Colour fastness to hot pressing

Technical Details Outdoor Fabric

Outdoor Fabric ผ้าสำหรับใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบและดูแลเป็นพิเศษสำหรับใช้ในงานกลางแจ้ง เช่น เฟอร์นิเจอร์นอกชาน เบาะรองนั่ง ร่ม กันสาด ผ้าคลุมเรือ และเต็นท์ ผ้าเหล่านี้มักทำจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น Acrylic, Polyester, Nylon หรือ Vinyl ซึ่งมีความทนทานสูง ทนต่อแสงแดดและสภาพอากาศ และทนต่อความชื้น ความร้อน และความเย็นได้

คุณสมบัติทั่วไปบางประการของผ้ากลางแจ้ง ได้แก่ :

  1. Water repellent สะท้อนน้ำ : ผ้าที่ใช้กลางแจ้งมักได้รับการเคลือบด้วยสารไม่ซับน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าสู่เนื้อผ้าและทำให้เกิดความเสียหาย
  2. UV resistance ทนทานต่อรังสียูวี : ผ้าที่ใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบมาให้ต้านทานการซีดจางและการเสื่อมสภาพจากการสัมผัสกับแสงแดด
  3. Mildew resistance ทนต่อการขึ้นรา : ผ้ากลางแจ้งมักได้รับการบำบัดด้วยสารต่อต้านจุลินทรีย์เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและโรคราน้ำค้าง
  4. Durability ความทนทาน: ผ้าที่ใช้กลางแจ้งได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อการสึกหรอ จึงมักทำจากวัสดุที่ใช้งานหนักซึ่งสามารถรองรับการใช้งานและการใช้งานในทางที่ผิดได้ในระดับสูง
  5. Easy maintenance ดูแลรักษาง่าย: ผ้าสำหรับใช้กลางแจ้งหลายชนิดได้รับการออกแบบมาให้ทำความสะอาดได้ง่าย โดยมักใช้ผ้าหมาดเช็ดง่ายๆ

เมื่อเลือกผ้าที่ใช้กลางแจ้ง สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงจุดประสงค์การใช้งานและเงื่อนไขที่จะต้องสัมผัส การเลือกผ้าสำหรับกลางแจ้งคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อความต้องการของคุณโดยเฉพาะสามารถช่วยให้มั่นใจได้ว่าเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง เบาะรองนั่ง และสิ่งของอื่นๆ ของคุณจะคงอยู่ไปอีกนานหลายปี

TECHNICAL DETAILS

10724 SKYLINE

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Polyester
Weight น้ำหนัก315 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
ISO 12947-2:201630,000 cycles
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
ISO 105-B02:20147-8 (max 8)

10725 SUNNY, 10726 SUNNY, 10727 SUNNY, 10728 SUNNY

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Solution Dyed Olefin
Weight น้ำหนัก190 g/sqm
Finishing ตกแต่งสำเร็จTeflon®  Water Repellent
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
UNE EN ISO 12947-220,000 cycles
Colour Fastness to Chlorinated Water
ความคงทนของสีต่อน้ำคลอรีน
UNE EN ISO 105-E03:19975 (max 5)
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
UNE EN ISO 105-B02:2014 
AATCC 16.3
>7 (max 8)
4-5 (max 5)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
UNE EN ISO 105-X12:19964-5 (max 5)
 Dimensional Stability to Washing
 การเปลี่ยนแปลงขนาดหลังการซัก
UNE EN 25077:1996Weft -0.4%
Warp -0.3%
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
UNE EN ISO 12945-25 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2Weft 3.0 mm
Warp 3.0 mm
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
UNE EN ISO 13937-3Warp 73.9 N
Weft 43.2 N
Tensile Strength (Strip Test)
ทดสอบแรงดึงขาด
UNE EN ISO 13934-1Warp 1647 N
Weft 750 N
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
UNE EN ISO 24920
5 (max 5)

30006 ALFRESCO & 30007 PLAYGROUND

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Acrylic Fiber Dyed
Weight น้ำหนัก190 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
DIN EN ISO 12947-225,000 cycles
Amines of Azo Colorants – ExtractionDIN EN 14362-1<5 mg/kg
(lagal limit 30 mg/kg)
Colour Fastness to Chlorinated Water ความคงทนของสีต่อน้ำคลอรีนDIN EN ISO 105-E034 (max 5)
Colour Fastness to Hot Pressing
ความคงทนของสีต่อ
การกดทับด้วยความร้อน
ISO 105-X11:19975 (max 5)
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B026-7 (max 8)
Depending colour
Colour Fastness to Perspiration
ความคงทนของสีต่อเหงื่อ
BS EN ISO 105-E04:2009PH 5.5 Acid: 4-5
PH 8 Alkaline: 4-5
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
ISO 105-X12:20035 (max 5)
Colour Fastness to Washing
ความคงทนของสีต่อการซัก
ISO 105-C06:20105 (max 5)
Colour Fastness to Sea Water
ความคงทนของสีต่อน้ำทะเล
DIN EN ISO 105-E025 (max 5)
 Dimensional Stability to Washing
 การเปลี่ยนแปลงขนาดหลังการซัก
ISO 5077:2007Warp -0.5%
Weft -2.0%
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
BS 5852-1
UNE1021-1
BS 7176 Low Hazard
PASS
Oil Repellency (Teflon®)
ความสะท้อนน้ำมัน
ISO 14419
AATCC 118:2007
6 (max 8)
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
ISO 12945-2:20014 (max 5)
 Seam Properties (Strength)
สมรรถนะของตะเข็บ
BS EN ISO 13935-2:1999Warp 56.8 kg STP
Weft 30.0 kg STP
Tensile Strength (Strip Test)
ทดสอบแรงดึงขาด
EN ISO 13934-1Warp 101 kg
Wefte 55 kg
 Ultra Violet Transmission/UPF
การป้องกันรังสียูวี
AS/NZS 4399/1996UV40 Standard 801
Water Repellency
(Spray Test-Teflon® )
ความสะท้อนน้ำ
ISO 4920
AATCC 22-2010
90

30035 CRUISES

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Olefin
Weight น้ำหนัก367 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
EN ISO 12947-2:199813,000 cycles
Anti-Bacterial
ต้านเชื้อแบคทีเรีย
JIS L 1902Reduction 99% Effective
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B02:19947-8 (max 8)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
BS EN 105-X12:20014-5 (max 5)
Colour Fastness to UV
ความคงทนของสีต่อแสง UV
ASTM G1544-5 (max 5)
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
NFPA 260,
CAL 117
BS 5852 Source 0
EN ISO 1021-1
PASS
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
EN ISO 12945-2:20004 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2:2004Weft 2.5 mm
Warp 3.0 mm
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
BS EN ISO 49204-5 (max 5)
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
BS EN ISO 13937-1:2000Warp 5901 g
Weft 6620 g

30070 ISTANBUL30071 GALATA, 30072 TOPKAPI, 30073 BOSPHORUS

DETAIL INFORMATIONSTANDARDTEST RESULTS
Composition ประกอบ100% Olefin
Weight น้ำหนัก198-343 g/sqm
Abrasion Resistance
ความต้านต่อการขัดถู
EN ISO 12947-2:199830070: 18,000 cycles
30071: 20,000 cycles
30072: 50,000 cycles
30073: 50,500 cycles
Anti-Bacterial
ต้านเชื้อแบคทีเรีย
JIS L 1902Reduction 99% Effective
Colour Fastness to Light
ความคงทนของสีต่อแสง
BS EN 105-B02:19947-8 (max 8)
Colour Fastness to Rubbing
ความคงทนของสีต่อการขัดถู
BS EN 105-X12:2001Dry 4-5 (max 5)
Wet 4-5 (max 5)
Colour Fastness to UV
ความคงทนของสีต่อแสง UV
ASTM G1544-5 (max 5)
Flammability
ความสามารถในการติดไฟ
NFPA 260,
CAL 117
BS 5852 Source 0
EN ISO 1021-1
PASS
Pilling Resistance (Martindale) 
ความต้านต่อการขึ้นขน/เม็ด
EN ISO 12945-2:20004 (max 5)
Seam Properties (Slippage)
สมรรถนะของตะเข็บ
EN ISO 13936-2:200430070:
Weft 2.7 mm, Warp 3.0 mm
30071:
Weft 4.8 mm, Warp 4.6 mm
30072:
Weft 4.8 mm, Warp 4.6 mm
30073:
Weft 3.0 mm, Warp 3.8 mm 
Water Repellency
(Spray Test)
ความสะท้อนน้ำ 
BS EN ISO 49204-5 (max 5)
Tearing Strength
ความต้านแรงฉีกขาด
BS EN ISO 13937-1:200030070:
Warp 5920 g, Weft 6664 g
30071:
Warp 5760 g, Weft 6550 g
30072:
Warp 5930 g, Weft 6750 g
30073:
Warp 5980 g, Weft 6720 g

ตัวอักษรย่อในส่วนประกอบเนื้อผ้า

บางทีเวลาเราเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที่ย่อ ในส่วนของ Care Lable หรือป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาผ้าที่ส่วนใหญ่มักจะบอกถึงส่วนประกอบของเส้นใยด้วยว่าผลิตจากเส้นใยชนิดใด ซึ่งในบางครั้งที่มีความจำกัดด้านเนื้อที่เลยจำเป็นต้องเขียนย่อ ซึ่งบางทีอาจทำให้เราไม่แน่ใจว่าตัวย่อที่เราเห็นนั้น เราเข้าใจถูกหรือไม่ วันนี้เราไปดูกันดีกว่าตัวย่อนั้นๆ หมายความว่าอะไรกันบ้าง

ในส่วนตัวย่อข้างบนนั้นเป็นการย่อในวงการผ้าเท่านั้น ซึ่งจะมีวัสดุกลุ่มเส้นใยโพลิเมอร์ หรือพลาสติกบางตัวที่อาจไม่ต้องกับการย่อสากลที่เราคุ้นเคยตามตัวอย่างด้านล่างนี้


การย้อมผ้า Fabric Dyeing

การย้อมผ้าเป็นกระบวนการให้สีแก่สิ่งทอโดยการจุ่มลงในสารละลายย้อมผ้า กระบวนการย้อมสีสามารถทำได้โดยใช้สีธรรมชาติหรือสีสังเคราะห์ การย้อมสีผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอมีหลายขั้นตอน แต่โดยรวมแล้วมีขั้นตอนดังนี้

  1. การเตรียม Preparation: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการเตรียมผ้าสำหรับการย้อม ผ้าจะทำความสะอาดก่อนเพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน หรือสิ่งเจือปนที่อาจขัดขวางการดูดซึมสีย้อม สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การซัก การขัด หรือการฟอกสี
  2. การย้อมสี Dyeing: จากนั้นผ้าจะถูกจุ่มลงในสารละลายย้อม และโมเลกุลของสีย้อมจะถูกดูดซับโดยผ้า สารละลายสีย้อมสามารถนำไปใช้กับผ้าได้โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การย้อมแบบจุ่ม ซึ่งผ้าจะจมอยู่ในสารละลายสีย้อมทั้งหมด หรือการพิมพ์ ซึ่งใช้สารละลายสีย้อมในรูปแบบเฉพาะ
  3. การตรึงสี Fixation: หลังจากการย้อม ผ้าจะได้รับการบำบัดด้วยสารตรึงเพื่อให้แน่ใจว่าโมเลกุลของสีย้อมติดอยู่กับเส้นใยผ้าและไม่ล้างออกง่าย กระบวนการนี้เรียกว่า Fixation การตรึงสี และมักจะทำโดยใช้สารเคมี เช่น เกลือ น้ำส้มสายชู หรือเกลือโลหะอื่นๆ
  4. การล้างสี Washing: หลังจากการตรึง ผ้าจะถูกซักเพื่อขจัดสีย้อมหรือสารยึดเกาะส่วนเกินออกจากผ้า สิ่งนี้ทำเพื่อให้แน่ใจว่าสีย้อมจะไม่ตกหรือสีซีดจางเมื่อใช้หรือซักผ้า
  5. การตกแต่งสำเร็จ Finishing: ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการย้อมผ้าเกี่ยวข้องกับการตกแต่งผ้าเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความนุ่มนวล ความมันเงา หรือการต้านทานรอยยับ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การทำปฏิทิน ซึ่งผ้าถูกส่งผ่านระหว่างลูกกลิ้งที่ให้ความร้อน หรือการเคลือบโดยที่ชั้นบางๆ ของโพลิเมอร์ถูกนำไปใช้กับพื้นผิวของผ้า

ชนิดของสีย้อม Dyeing Type

Acid Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้กรดเป็นส่วนผสมในการตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้มักใช้ในการย้อมผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม และเส้นใยโปรตีนอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 60-80°C
  • Water-Based
  • pH 3-4
  • Process Immersion Dyeing การย้อมแบบแช่

Basic Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้สารละลายพื้นฐานเป็นสารประสมเพื่อตรึงสีย้อมบนผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมอะคริลิกและใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 90-100°C
  • Water-Based
  • pH 9-10
  • Process Exhaustion Dyeing

Disperse Dyeing

กระบวนการย้อมที่ใช้สีดิสเพอร์ส ซึ่งจะกระจายตัวในตัวทำละลายก่อนนำไปใช้กับผ้า วิธีนี้มักใช้สำหรับการย้อมโพลีเอสเตอร์ ไนลอน และใยสังเคราะห์อื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 120-140°C
  • Oil-Based
  • pH 6-7
  • Process High-Temperature Dyeing

Direct Dyeing

กระบวนการย้อมแบบง่ายๆ ที่ย้อมลงบนผ้าโดยตรงโดยไม่ต้องใช้สารยึดเกาะหรือสารยึดเกาะ การย้อมสีโดยตรงเหมาะสำหรับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ไหม และขนสัตว์

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 6-7
  • Process Immersion Dyeing

Vat Dyeing

กระบวนการย้อมสีที่ใช้ถังเก็บสารละลายสีย้อม ผ้าจะถูกแช่ในสารรีดิวซ์ก่อน ซึ่งจะเปลี่ยนสีย้อมให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ จากนั้นนำผ้าไปแช่ในถัง ซึ่งเส้นใยผ้าจะดูดซับสีย้อมไว้ วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าเดนิม หรือผ้ายีนส์ และผ้าฝ้ายอื่นๆ

  • อุณหภูมิในการย้อม 50-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-11
  • Process Reduction Dyeing

Reactive Dyeing

การย้อมด้วยปฏิกิริยา: กระบวนการย้อมที่ใช้สีรีแอกทีฟซึ่งสร้างพันธะโควาเลนต์กับเส้นใยผ้า วิธีนี้นิยมใช้ในการย้อมผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และผ้าไหม

  • อุณหภูมิในการย้อม 20-60°C
  • Water-Based
  • pH 10-12
  • Process Exhaustion Dyeing


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

“น้ำตาล หรือ เทา” จบๆ!!!

ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งของการเลือกแบบ เลือกสไตล์ เลือกวัสดุ ในการตกแต่งห้องคือไม่รู้จะตกแต่งแบบไหนดี เช่นเดียวกันการเลือกสี ก็เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเหมือนกัน

ฉนั้น วันนี้มีทางเลือกง่ายๆ ของโทนสี ที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกโทนสีในการตกแต่งไปใน 2 ทางคือ โทนน้ำตาล และโทนเทา เพราะทั้งสีน้ำตาล และสีเทา เป็นสีเป็นกลางในการออกแบบตกแต่งภายใน เป็นสีพื้นเข้าได้กับทุกสไตล์การตกแต่งและไร้กาลเวลาสำหรับสไตล์การออกแบบที่หลากหลาย โดยหลักการง่ายๆ ดังนี้

  • ความซับซ้อน: สีโทนน้ำตาลและเทา ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความรู้สึกซับซ้อน ดูสง่างาม ใช้ร่วมกับวัสดุต่างๆ สร้างบรรยากาศได้หลากหลาย ทั้งความหรูหรา ทันสมัย และดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
  • ความยืดหยุ่น: สีโทนน้ำตาลและเทา สามารถจับคู่กับสี ลวดลาย และพื้นผิวอื่นๆ ได้ง่าย เสมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า สามารถแต่งแต็ม เน้นจุดสำคัญ หรือ ทำให้กลมกลืนได้ง่าย สามารถใช้กับโทนสีอบอุ่นหรือโทนเย็นได้ และเข้าได้กับฤดูกาล แม้กระทั้งเทรนด์การตกแต่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็ตาม
  • ไร้กาลเวลา: สีโทนน้ำตาลและเทา มีความคลาสสิก และไร้กาลเวลา เข้ากับการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการใช้โทนสีที่เป็นกลาง คุณสามารถสร้างการออกแบบที่ไม่เคยตกยุคและให้ความรู้สึกเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • ความกลมกลืน: สีโทนน้ำตาลและเทา เมื่อใช้ร่วมกับสีกลางอื่นๆ หรือในเฉดสีต่างๆ สีน้ำตาลและสีเทาสามารถสร้างการออกแบบที่กลมกลืนและเหนียวแน่น สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและสมดุลในพื้นที่
  • พื้นผิว: สีโทนน้ำตาลและเทา เป็นสีที่อยู่ในเนื้อของวัสดุ โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ไม้ และโลหะ สามารถเน้นพื้นผิวของวัสดุให้เป็นจุดเด่น หรือเป็นองค์ประกอบโดยรวมได้ สร้างความเป็นมิติ และความน่าสนใจในการออกแบบได้อย่างง่ายๆ

ความหมายในเชิงความรู้สึก และสไตล์การตกแต่ง

สีโทนน้ำตาล

  • ความรู้สึก: Warmth, Comfort, Stability, Earthiness, Naturalness
  • การออกแบบตกแต่ง: Rustic, Vintage, Bohemian, Organic, Traditional
  • สไตล์: Casual, Relaxed, Cozy, Down-To-Earth, Timeless
  • วัสดุ: ไม้จริง และลายไม้ พื้น และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, อิฐ, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยางลายไม้, สีทาผนัง, โลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง รวมถึงการทำสี เช่น โรสโกลด์, กระจกเงารมทอง, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

สีโทนเทา

  • ความรู้สึก: Neutrality, Calmness, Sophistication, Balance, Professionalism
  • การออกแบบตกแต่ง: Modern, Minimalistic, Industrial, Elegant, Chic
  • สไตล์: Formal, Sophisticated, Refined, Sleek, Timeless
  • วัสดุ: ไม้ทำสี การเผาผิวหน้าไม้ และวัสดุปิดผิวลายไม้, สิ่งทอ-หนัง, สีทาผนัง, กระเบื้อง แกรนิตโต และกระเบื้องยาง, โลหะ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส และการทำสี, กระจกเงารมดำ, ปูนเปลือย-ขัดมัน, หินปูพื้นและตกแต่ง เช่น แกรนิต หินอ่อน และของตกแต่งอื่นๆ

กฏ 80%/20%

กฎ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” (Pareto principle) หรือสัดส่วน 80/20 (Law of the vital few) หมายถึง ส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่สำคัญและส่งผลต่อส่วนอื่นๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันของทั้งสองโทน โดยให้สัดส่วนของสีที่มากน้อยต่างกัน

จากรูป การตกแต่งเป็นสีน้ำตาล, และมีการใช้สีเทา ในสัดส่วน 50/50

จากรูป การตกแต่งโดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล, เบจ สีน้ำตาลจากวัสดุไม้พื้นน และตกแต่งผนัง และมีการใช้สีเทาเข้ม ที่เป็นผ้าม่าน สีดำของชั้นวางทีวี มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมเป็นโทนสีน้ำตาล ครีม เบจและมีการใช้สีเทาของวัสดุหินอ่อน มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างโต๊ะไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

จากรูป โดยรวมการตกแต่งเป็นสีโทนเทา, ขาว และมีการใช้สีน้ำตาล ด้วยตัวเนื้อวัสดุอย่างพื้นไม้มาตัดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น

การเพิ่มสีธรรมชาติอย่างสีเขียวของต้นไม้, ใบไม้ เป็นสีที่ 3 ช่วยพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และยังสร้างความมีชีวิจชีวา ให้กับการตกแต่งอีกด้วย

เช่นเดียวกันเราสามารถเพิ่มสีที่ตัดกันเข้าไปใช่สัดส่วน 80/20 ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าสนใจได้อย่างมาก

จากรูป เราสามารถเพิ่มสีที่ 3 ลงไป เพื่อสร้างความนี้สนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสัดส่วน 70/20/10


หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ แนวไอเดียนำไปใช้ในการตกแต่งห้อง กับโทนสีน้ำตาล และสีเทาแนะนำเป็นตัวอย่างนะครับ ^ ^

บทความโดย: ทายาท เตชะสุวรรณ์ นักออกแบบ

หน้าม่วงหน้าเขียว ความลับคือค่า Color Rendering Index (CRI)

เคยเป็นไหมเวลาเราส่องกระจก หรือถ่ายรูปตัวเราเอง ถ่ายรูปสิ่งของที่เราอยากโชว์ลงสื่อโซเชียว แต่รูปที่ได้มากลายสีเพี้ยนๆ เป็นสีอมม่วง อมเชียว ทั้งๆที่เราก็ใส่มือถือรุ่นใหม่แบรนด์ดัง หรือเรารู้สึกว่า ทำไมเสื้อผ้าที่เราซื้อกลับมาลองใส่อีกครั้งที่บ้าน ไม่สวยสดใส เหมือนกับลองที่ร้าน หรือผัก-ผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ ทำไมมันสีสวยน่าทานมากกว่าร้านขายผลไม้ ติดไฟ LED ทรงใบพัดตามข้างทาง ทั้งๆ ที่ ความสว่าง และอุณหภูมิแสง เดย์ไลท์/วอร์มไวท์ (แสงขาว/แสงเหลือง) ก็เหมือนๆ กัน ค่า CRI (Color Rendering Index) คือคำตอบนั้นเอง ค่า CRI ค่าความถูกต้องของสี เป็นค่าชี้วัดว่าแหล่งกำเนิดแสงส่องสว่างสีของวัตถุได้แม่นยำเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงตามธรรมชาติหรือ แสงแดด

CRI วัดจากระดับ 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงแสดงว่าแสดงสีได้ดีขึ้น คะแนน CRI 100 แสดงถึงการแสดงสีที่สมบูรณ์แบบ หมายความว่าสีของวัตถุได้รับการส่องสว่างอย่างแม่นยำและไม่ผิดเพี้ยน

CRI มีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ความถูกต้องของสีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ในหอศิลป์ สตูดิโอถ่ายภาพ และโชว์รูม หรือร้านขายสินค้า หรืออุตสาหกรรม ที่ต้องการความถูกต้องของสีสูงๆ เช่น การเทียบสีของ สิ่งทอ หรือ การเปรียบสีของรอบการผลิตที่ต่างกัน เป็นต้น

CRI ต่ำ (ค่าความถูกต้องสี) สามารถทำให้วัตถุดูหม่นหมอง ซีดจาง หรือมีสีผิดเพี้ยนได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำไม่สามารถแสดงสีของวัตถุที่ส่องสว่างได้อย่างถูกต้อง

เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ สีบางสีในสเปกตรัมจะถูกดูดกลืนโดยวัตถุ ในขณะที่สีอื่นจะสะท้อนกลับ แหล่งกำเนิดแสง CRI สูงจะสร้างสเปกตรัมของสีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแสดงสีที่แท้จริงของวัตถุได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน แหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำจะสร้างสเปกตรัมของสีที่จำกัด ส่งผลให้การสร้างสีไม่แม่นยำ เช่น การจับคู่สีสิ่งทอแหล่งกำเนิดแสง CRI ต่ำอาจทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างเฉดสีที่คล้ายกันหรือตรวจจับความแตกต่างเล็กน้อยของสีได้ยาก ในร้านค้าปลีกหรือพิพิธภัณฑ์ แหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า CRI ต่ำอาจทำให้สินค้าหรือการจัดแสดงดูน่าสนใจน้อยลง

ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว หลอดไฟ CRI สูงจึงเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานที่เน้นสี เช่น การจับคู่สี การถ่ายภาพ โชว์รูมสินค้าแฟชั่น โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน

ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หลอดไฟยี่ห้อต่างๆ ที่ ระบุค่า CRI

ฉนั้นคั้งต่อไปในการเลือกซื้อหลอดไฟ นอกจาก กำลังไฟ เรื่องความสว่าง อุณหภูมิแสแล้ว เราควรสังเกตุค่า CRI ความถูกต้องของสี รวมด้วย แม้กระทั่งในบ้านของเรา เช่นห้องน้ำ ห้องแต่งตัว แสงสว่างที่กระจกแต่งหน้า หรือห้องรับแขก โดยทั่วไป ค่า CRI เท่ากับ หรือ มากกว่า 80 ขึ้นไป ถือเป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับหลอดไฟที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน ซึ่งรับรองว่าคุณจะรู้สึกว่า บ้านของคุณดูมีชีวิตชีวา ขึ้นมาอีกครั้งเลยที่เดียว ในทางกลับกันหลอดไฟที่ค่า CRI ต่ำ มักจะมีราคาถูก และไม่เขียนค่าดังกล่าวโชว์ไว้ที่หน้าบรรจุภัณฑ์


ตู้วิเศษจงบอกข้าเถิด ผ้าตัวไหนสีเพี้ยน

Color Matching Cabinets

ไม่ต้องมนต์วิเศษใดๆ เราก็สามารถรู้ได้ว่าสีเพี้ยนหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับ ตู้นี้ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยเช่นกัน

Color Matching Cabinets หรือ ตู้เทียบสี เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินสีในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น สิ่งทอ การพิมพ์ ยานยนต์ หรือจะกล่าวได้ว่าทุกวงการ ที่จำเป็นต้องงมีการเปรียบเทียบกับสีเดิมที่เป็นต้นฉบับ หรือสีตัวอย่างที่ต้องการ โดยมีการออกแบบมาให้สภาพแสงมาตรฐาน โดยจำลองสภาพแวดล้อมของแสงที่แตกต่างกัน เช่น แสงกลางวัน และแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เพื่อใช้เปรียบเทียบสีสภาพแสงต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญนั้นเอง

ตู้จับคู่สีเครื่องแรกได้รับการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยบริษัท Munsell Color สำหรับการจับคู่สีในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ตั้งแต่นั้นมา ตู้เทียบสีก็ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มเทคโนโลยีไฟแบบใหม่ LED เข้าไปด้วย และแสงที่ถือว่าเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบสีหลักๆ คือแสงจากหลอด D65 หรือแสงที่มีอุณหภูมิสี 6500K ซึ่งเป็นอุณหภูมิแสงที่ใกล้เคียงแสงแดดที่สุด (โซนยุโรป อเมริกา) กำหนดโดย International Commission on Illumination (CIE) ในปี 1964

ปัจจุบัน ตู้จับคู่สีมีการกำหนดค่าที่หลากหลายและมีแหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งสำหรับการจำลองสภาพแสงที่แตกต่างกัน ตู้บางตู้ยังใช้ไฟฟลูออเรสเซนต์ ในขณะที่ตู้อื่นๆ ใช้ไฟ LED เพื่อประหยัดพลังงาน และค่าความถูกต้องสีสูง (CRI) สามารถรวมแสงหลายประเภทไว้ในตู้เดียว ช่วยให้สลับระหว่างแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ได้ง่าย โดยรวมแล้ว ตู้เทียบสีเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการประเมินและจับคู่สีที่แม่นยำในอุตสาหกรรมต่างๆ

จากรูป เป็นการเปรีบเทียบสี จะเห็นว่ารูปด้านซ้าย ไม่เห็นความแตกต่างของสี เมื่ออยู่ใน แสงจากหลอดไฟ เดย์ไวท์ อุณหภูมสี 5000K (แสงขาว) แต่เมื่อเทียบกับรูปทางขวา ซึ่งจะเห็นสีไม่เท่ากันไปอยู่ในแสงทางด้านขวา ที่เป็นแสงวอร์มไวท์ อุณหภูมสี 2700K (แสงเหลือง)

หลอดไฟชนิดต่างๆ ในตู้เทียบสี

แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของตู้จับคู่สี เนื่องจากช่วยให้สามารถจำลองสภาพแสงประเภทต่างๆ เพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สถานการณ์ต่างๆ แหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่ใช้ในตู้เทียบสีมักจะมีอุณหภูมิสี และค่าความถูกต้องสี (CRI) ที่แตกต่างกัน เพื่อจำลองประเภทของแสงกลางแดดและสภาพแสงอื่นๆ ได้แก่

  • D65 (Daylight 6500K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนยุโรป, อเมริกา) ที่มีอุณหภูมิสี 6500K และ CRI 95 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นหลัก
  • D50 (Daylight 5000K): แหล่งกำเนิดแสงที่จำลองแทนแสงแดดตอนกลางวัน (โซนเอเชีย) ที่มีอุณหภูมิสี 5000K และ CRI 98 ใช้อ้างอิงสำหรับการประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมต่างๆ เปรียบกับสลับกับ D65 ไปมา โดยเฉพาะงานปรู๊ฟสี และงานภาพถ่าย
  • U30 (30 Phosphor Luminescence): แหล่งกำเนิดแสงที่มีอุณหภูมิสี 3000K และ CRI 82 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมพลาสติก และสิ่งทอ
  • TL84 (Tubular Luminescence 840): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4000K และ CRI 85 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง และพลาสติก
  • CWF (Cool White Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวนวลที่มีอุณหภูมิสี 4150K และ CRI 62 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมการพิมพ์
  • F (Fluorescent): หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีอุณหภูมิสี 2700K และ CRI 50 มักใช้เพื่อประเมินความถูกต้องของสีในอุตสาหกรรมยานยนต์
  • A (Incandescent): หลอดไส้ที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 2856K และค่า CRI 100 เป็นแหล่งกำเนิดแสงมาตรฐานแห่งแรกสำหรับการประเมินสี และยังคงใช้ในบางอุตสาหกรรมในปัจจุบันเพื่อประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงจากหลอดไส้
  • UV (Ultraviolet): แหล่งกำเนิดแสงหลอด UV เพื่อประเมินความคงทนของสีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และพลาสติก รวมถึงผลกระทบของแสง UV ต่อรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาผ่านไป แหล่งกำเนิดแสง UV ในตู้เทียบสีมักจะปล่อยแสง UV ในช่วง 320-400 นาโนเมตร ซึ่งคล้ายกับแสง UV ที่พบในแสงแดดธรรมชาติ

รูปตัวอย่างแหล่งกำเนิดแสง (หลอดไฟ) ชนิดต่างๆ ซึ่งในบริเวญปลายหลอด ก็มักจะมีการเขียนกำกับไว้ว่าเป็นหลอดชนิดใด


การใช้แหล่งกำเนิดแสงหลายแหล่งในตู้จับคู่สีช่วยให้สามารถประเมินความถูกต้องของสีภายใต้สภาพแสงที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ถึงความแม่นยำของสีที่สม่ำเสมอในผลิตภัณฑ์และการใช้งานต่างๆ


มาสร้างโรงหนังในบ้านด้วยผ้าม่านกัน

นอกจากผ้าม่านที่ปกติแล้วเราจะใช้เพื่อการกันแสง กันความร้อนจากแสงแดดแล้ว หรือกันการมองเห็น หรือกระทั่งเสริมบรรยากาศของห้องแล้ว ผ้าม่านยังสามารถกันเสียง( ดูดซับเสียง) ได้อีกด้วยนะ แล้วเราสามารถนำผ้าม่านไปใช้กับห้องไหน ได้บางไปดูกันเลย

ใช้ผ้าม่านกับห้องซ้อมดนตรี

ใช้ผ้าม่านสามารถกันเสียงในห้องซ้อมดนตรีได้ดีแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความหนาและความหนาแน่นของผ้าม่าน ประเภทของผ้า ขนาดและรูปร่างของห้อง และความดังของเสียงที่เกิดขึ้น .

โดยทั่วไปแล้ว ผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเก็บเสียงได้ดีพอสำหรับห้องซ้อมดนตรี อย่างไรก็ตาม ผ้าม่านสามารถช่วยดูดซับ และกระจายคลื่นเสียง และสามรถดเสียงสะท้อน เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการกันเสัยงในห้องซ้อมดนตรี จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมร่วมกัน เช่น แผงอะคูสติก โฟมเก็บเสียง และฉนวนกันเสียง สิ่งสำคัญคือต้องอุดช่องว่างต่างๆ ในผนัง เพดาน และพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงรั่วเข้าหรือออกให้หมดด้วย


ใช้ผ้าม่านกับห้องโฮมเธียมเตอร์

ผ้าม่านเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการลดเสียงสะท้อนและเสียงก้องในห้องโฮมเธียเตอร์ เนื่องจากช่วยดูดซับคลื่นเสียงและป้องกันไม่ให้สะท้อนออกจากพื้นผิวที่แข็ง เมื่อใช้ร่วมกับวัสดุดูดซับเสียงอื่นๆ เช่น แผงอะคูสติก หรือแผ่นโฟม ผ้าม่านเป็นวิธีแบบง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเสียงของห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณ

ผ้าม่านสำหรับห้องโฮมเธียเตอร์ ควรเลือกผ้าที่มีการทอแน่น หนา และฟู เพื่อช่วยดูดซับเสียงได้ดีกว่าผ้าที่บางและน้ำหนักเบา เช่น ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet และ ผ้าที่ทอจากด้านขน หรือ Chenille ซึ่งด้วยคุณลักษณะของตัวเนื้อผ้าเองที่มีความหนา กว่าผ้าชนิดอื่นๆ และยังมีขนเล็กๆ เรียนตัวกันอย่างหนาแน่น รวมทั้งการตัดเย็บเข้าเป็นลอนๆ จากที่กล่าวมาด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ผ้ากำมะหยี่จึงสามารถช่วยลดการสะท้อนของเสียงได้ดี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดมักจะแขวนปิดอีกชั้นในส่วนของผนังผนังที่เรียบๆ ทั้งหมด รวมถึงหน้าต่าง แม้แต่หน้าประตูเข้าออก เพื่อช่วยดูดซับคลื่นเสียง และลดเสียงสะท้อน แม้ว่าผ้าม่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถป้องกันเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเท่ากับการกรุผนังซับเสียงใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่าย มีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์การดูหนัง ฟังเพลงให้มีอรรถรส และสนุกสนานยิ่งขึ้น

  1. Reflection (การสะท้อน): เมื่อเสียงชนกับพื้นผิวหรือวัตถุต่างๆ บางส่วนของเสียงจะสะท้อนกลับมาเป็นคลื่นเสียงและเกิดเป็นเสียงสะท้อน โดยการสะท้อนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสะท้อนของวัตถุและมุมเข้าชนของเสียง
  2. Absorption (การดูดซับ): เมื่อเสียงชนกับวัตถุบางส่วนของเสียงจะถูกดูดซับเข้าไปบางส่วน และสะท้อนออกมาบางส่วน การดูดซับเสียงจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซึมของวัตถุและความถี่ของเสียง
  3. Diffusion (การกระจาย): คือการกระจายเสียงโดยที่เสียงไม่ไปตรงเป้าหมาย แต่กระจายไปทั่วทั้งห้องหรือพื้นที่ โดยการกระจายจะเกิดจากการใช้วัตถุหรือผิวที่ไม่เป็นระเบียบหรือไม่มีลักษณะการสะท้อนหรือดูดซึมเสียง

อ่านเรื่อง ผ้าม่านกำมะหยี่ Velvet เพิ่มเติม

Colorfastness ผ้าสีซีด ผ้าสีจาง

ความคงทนของสีเป็นการวัดความทนทานของวัสดุสิ่งทอที่มีสีต่อการซีดจาง ในสภาวะการทำงานระหว่างการใช้งานตามปกติ มีหลายมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อทดสอบความคงทนของสีของสิ่งทอ มาตรฐานเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากช่วยให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีคุณภาพ ตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น ISO, AATCC, ASTM ซึ่งแต่ละมาตรฐานเหล่านี้มีขั้นตอนการทดสอบ และระบบการให้คะแนนเฉพาะของตัวเอง ตัวอย่างเช่น มาตรฐาน ISO, AATCC, ASTM ใช้มาตราส่วนการให้คะแนน 1 ถึง 5 เพื่อประเมินความคงทนของสี โดย 5 เป็นระดับความคงทนของสีระดับสูงสุด ส่วนมาตรฐาน JIS ใช้มาตราส่วนการให้คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 8 โดย 8 คือค่าที่ดีที่สุด เป็นต้น

ส่วนใหญ่เนื้อผ้าเคหะสิ่งทอ หรือพวกผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ก็จมีการทดสอบความคงทนของสี ดังนี้


การทดสอบความคงทนของสีตามมาตรฐานต่างๆ มีดังนี้

Colour Fastness to Light ความคงคนของสี ต่อแสง

  • AATCC 16.3 Test Method for Colour Fastness to Light: Xenon-Arc
  • ISO 105-B02 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part B02: Colour Fastness to Artificial Light: Xenon Arc Fading Lamp Test
  • JIS L0842 Test Methods for Colour Fastness to Enclosed Carbon Arc Lamp Light
  • JIS L0843 Test Methods for Colour Fastness to Xenon Arc Lamp Light
  • TISI 121 book 2 ความคงทนของสีต่อแสงซีนอนอาร์ก

Colour Fastness to Weathering ความคงทนของสีต่อสภาพอากาศ

  • 105-B04 Textiles – Tests for Colour Fastness Part B04: Colour Fastness to Artificial Weathering: Xenon Arc Fading Lamp Test

Colour Fastness to UV ความคงทนของสีตอแสง UV

  • ASTM G154 Standard Practice for Operating Fluorescent Ultraviolet (UV) Lamp Apparatus for Exposure of Materials

Colour Fastness to Rubbing ความคงคนของสี ต่อการขัดถู

  • AATCC 8 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Crockmeter
  • AATCC 116 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Rotary Vertical Crockmeter
  • AATCC 165 Test Method for Colour Fastness to Crocking: Textile Floor Coverings-Crockmeter
  • ISO 105-X12 Textiles – Tests for Colour Fastness Part X12: Colour Fastness to Rubbing
  • ISO 105-X16 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part X16: Colour Fastness to Rubbing – Small Areas
  • JIS L0849 Test Methods for Colour Fastness to Rubbing
  • TISI 121 book 5 ความคงทนของสีต่อการขัดถู

Colour Fastness to Water ความคงคนของสีต่อน้ำ

  • AATCC 107 Test Method for Colour Fastness to Water
  • ISO 105-E01 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E01: Colour Fastness to Water
  • JIS L0846 Test Method for Colour Fastness to Water
  • TISI 121 book 25 ความคงทนของสีต่อน้ำ

Colour Fastness to Perspiration ความคงคนของสีต่อเหงื่อ

  • AATCC 15 2021 Test Method for Colour Fastness to Perspiration
  • ISO 105-E04 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E04: Colour Fastness to Perspiration
  • JIS L0848 Test Method for Colour Fastness to Perspiration
  • TISI 121 book 4 ความคงทนของสีต่อเหงื่อ

Colour Fastness to Seawater ความคงคนของสีต่อน้ำทะเล

  • AATCC 106 Test Method for Colour Fastness to Water: Sea
  • ISO 105-E02 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E02: Colour Fastness to Sea Water
  • JIS L0847 Test Method for Colour Fastness to Sea Water

Colour Fastness to Chlorine ความคงคนของสีต่อคลอรีน

  • AATCC 162 Test Method for Colour Fastness to Water: Chlorinated Pool
  • 105-E03 Textiles – Tests for Colour Fastness Part E03: Colour Fastness to Chlorinated Water (Swimming-Pool Water)
  • JIS L0884 Test Methods for Colour Fastness to Chlorinated Water

Colour Fastness to Bleaching ความคงคนของสีต่อสารฟอกขาว

  • AATCC 101 Test Method for Colour Fastness to Bleaching With Hydrogen Peroxide
  • ISO 105-N01 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part N01: Colour Fastness to Bleaching: Hypochlorite
  • ISO 105-N02 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part N02: Colour Fastness to Bleaching: Peroxide
  • JIS L0856 Test Methods for Colour Fastness to Bleaching with Hypochlorite
  • JIS L0859 Testing Method for Colour Fastness to Bleaching with Sodium Chlorite

Colour Fastness to Washing ความคงคนของสีต่อการซัก

  • AATCC 61 Test Method for Colour Fastness to Laundering: Accelerated
  • ISO 105-C10 Textiles Tests for Colour Fastness Part C10: Colour Fastness to Washing With Soap Or Soap and Soda
  • ISO 105-C06 Textiles – Tests for Colour Fastness – Part C06: Colour Fastness to Domestic and Commercial Laundering
  • JIS L 0844 Test Methods for Colour Fastness to Washing and Laundering
  • TISI 121 book 3 ความคงทนของสีต่อการซักด้วยสบู่ หรือ สบู่และโซดา

Colour Fastness to Dry Cleaning ความคงคนของสีต่อการซักแห้ง

  • ISO 105-D01 Textiles – Tests for Colour Fastness Part D01: Colour Fastness to Dry Cleaning Using Perchloroethylene Solvent
  • AATCC 132 Test Method for Colour Fastness to Drycleaning
  • JIS  L0860 Test Methods for Colour Fastness to Dry Cleaning

ต่อไปเป็นตัวอย่างขั้นตอนการทดสอบต่างๆ ในกลุ่มความคงทนของสี

Colour Fastness to Light

ความคงทนของสี ต่อแสงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความทนทาน และอายุการใช้งานของผ้าสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง และเครื่องแต่งกาย การสัมผัสกับแสงแดดอาจทำให้สีย้อมและเม็ดสีบางส่วนแตกตัวและจางลง ส่งผลให้สีและรูปลักษณ์เปลี่ยนไป เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงรูปลักษณ์และคุณภาพไว้ ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนต่อแสงของเนื้อผ้า

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อแสง

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนต่อแสงของเนื้อผ้า ตัวอย่างเช่น ISO 105-B02, AATCC 16 และ JIS L 0843
  • การเตรียมชิ้นตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 10 ซม. x 10 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • การทดสอบโดนแสง: ตัวอย่างถูกเปิดรับแสง โดยปกติจะใช้หลอดไฟซีนอนอาร์คในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติคือ 40-50 ชั่วโมง และที่ความเข้มและอุณหภูมิเฉพาะ ตามมาตรฐานการทดสอบที่เลือก
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างได้รับการประเมินโดยใช้โทนสีเทา คัลเลอริมิเตอร์ หรือสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนต่อแสงตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Washing

ความคงทนของสีต่อการซัก คือความสามารถของผ้าสีในการรักษาสีเดิมและต้านทานการซีดจางหรือการเปลี่ยนสีหลังการซัก กระบวนการซักอาจทำให้สีย้อมและเม็ดสีเสื่อมสภาพและจางลง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสีและรูปลักษณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงความคงทนของสีไว้ ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนของสีของผ้าต่อการซัก

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อการซัก

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อการซัก ตัวอย่างเช่น ISO 105-C06, AATCC 61
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 10 ซม. x 10 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • การล้าง: ตัวอย่างจะถูกล้างโดยใช้เครื่องซักผ้ามาตรฐาน ผงซักฟอก และอุณหภูมิและรอบที่กำหนด ตามที่กำหนดโดยมาตรฐานการทดสอบที่เลือก จำนวนรอบการล้างอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐาน
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างได้รับการประเมินโดยใช้สเกลสีเทาหรือคัลเลอริมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนของสีตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Rubbing

ความคงทนของสีต่อการถู คือความสามารถของผ้าสีในการต้านทานการถ่ายโอนสีหรือการย้อมสีเมื่อถูกเสียดสีหรือเสียดสี การทดสอบประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเครื่องแต่งกาย เบาะ และผ้าอื่นๆ ที่อาจเกิดการเสียดสีหรือเสียดสีระหว่างการใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าผ้าสีจะคงความคงทนของสีต่อการเสียดสี ผู้ผลิตจึงใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อทดสอบความคงทนของสีของผ้า

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสี ต่อการขัดถู:

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อการถู ตัวอย่างเช่น ISO 105-X12, AATCC 8 และ ASTM D 4157
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างผ้าจะถูกตัดเป็นขนาดที่เหมาะสม โดยปกติคือ 5 ซม. x 5 ซม. และปรับสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ความชื้นคงที่
  • ทดสอบการขัดถู: ตัวอย่างถูกขัดถูกับผ้าถูมาตรฐานโดยใช้แรงกดและจำนวนถูที่ระบุ ตามที่กำหนดโดยมาตรฐานการทดสอบที่เลือก
  • การประเมินการเปลี่ยนสี: การเปลี่ยนแปลงสีของตัวอย่างและผ้าถูจะได้รับการประเมินโดยใช้ระดับสีเทาหรือคัลเลอริมิเตอร์ ระดับการเปลี่ยนสีเทียบกับระบบการให้คะแนนที่ระบุในมาตรฐานการทดสอบ
  • สรุปผล: ผลลัพธ์จะถูกรายงานเป็นระดับของการเปลี่ยนสีและคะแนนความคงทนของสีตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้

Colorfastness to Perspiration

ความคงทนของสีต่อเหงื่อเป็นการวัดความสามารถของสิ่งทอสีในการรักษาสีเมื่อสัมผัสกับเหงื่อของมนุษย์ เหงื่อประกอบด้วยสารประกอบต่างๆ ที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนสีหรือซีดจางของสิ่งทอที่มีสีได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อของสิ่งทอ เพื่อให้มั่นใจว่าสีและคุณภาพยังคงเดิมแม้ใช้งานเป็นเวลานานหรือสัมผัสกับเหงื่อ

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อ:

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อ ตัวอย่างเช่น ISO 105-E04, AATCC 15, JIS L 0848, BS EN ISO 105-E04 และ ASTM D 3725
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การเตรียมเหงื่อเทียม: เตรียมสารละลายเหงื่อเทียมโดยใช้สูตรมาตรฐานที่จำลองส่วนประกอบของเหงื่อของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วสารละลายจะประกอบด้วยสารเคมีต่างๆ เช่น โซเดียมคลอไรด์ กรดแลคติค ยูเรีย และส่วนประกอบอื่นๆ
  • การแช่ตัวอย่าง: แช่ตัวอย่างผ้าสีในสารละลายเหงื่อเทียมตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจมีตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน อุณหภูมิและความชื้นของสภาพแวดล้อมการทดสอบได้รับการควบคุมเพื่อจำลองสภาวะที่เหมือนจริง
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากผ่านระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างจะถูกล้างด้วยน้ำ และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสีหรือรูปลักษณ์ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อเหงื่อโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดย 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อจะถูกรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอที่มีสี

Colorfastness to Water

ความคงทนของสีต่อน้ำเป็นการวัดว่าวัสดุสิ่งทอสามารถต้านทานการซีดจางหรือรอยเปื้อนได้ดีเพียงใดเมื่อสัมผัสกับน้ำหรือความชื้น

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ

  • เลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ ตัวอย่างเช่น ISO 105-E01, AATCC 107, JIS L 0846 และ ASTM D 2244
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การแช่น้ำ: ตัวอย่างถูกแช่ในน้ำกลั่น หรือน้ำปราศจากไอออนที่อุณหภูมิที่ระบุในช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิและระยะเวลาของการแช่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทดสอบหรือวิธีการที่ปฏิบัติตาม
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากแช่น้ำตามระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างจะถูกนำออกและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสีหรือรูปลักษณ์ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อน้ำโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดยที่ 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำจะถูกรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอที่มีสี

Colorfastness to Dry Cleaning

การทดสอบความคงทนของสีต่อการซักแห้งเป็นการวัดว่าวัสดุสิ่งทอสามารถต้านทานการซีดจางหรือรอยเปื้อนได้ดีเพียงใดเมื่อผ่านขั้นตอนการซักแห้ง การซักแห้งเป็นกระบวนการที่ใช้ตัวทำละลาย เช่น เปอร์คลอโรเอทิลีนหรือปิโตรเลียม เพื่อทำความสะอาดวัสดุสิ่งทอ

ขั้นตอนการทดสอบความคงทนของสีต่อ การซักแห้ง

  • ลือกมาตรฐานการทดสอบที่เหมาะสม: มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบความคงทนของสีต่อน้ำ ตัวอย่างเช่น ISO 105-D01, AATCC 132, JIS L 0852 และ ASTM D 3273
  • การเตรียมตัวอย่าง: ตัดตัวอย่างสิ่งทอสีจำนวนเล็กน้อยและเตรียมสำหรับการทดสอบ ตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การซักแห้ง: ตัวอย่างต้องผ่านขั้นตอนการซักแห้งที่ระบุโดยใช้ตัวทำละลาย อุณหภูมิ และระยะเวลาที่ระบุ ขั้นตอนการซักแห้งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทดสอบหรือวิธีการที่ปฏิบัติตาม
  • การประเมินความคงทนของสี: หลังจากขั้นตอนการซักแห้ง ตัวอย่างจะได้รับการประเมินว่ามีการเปลี่ยนแปลงสีหรือรูปลักษณ์หรือไม่ การประเมินสามารถทำได้โดยใช้การประเมินด้วยสายตา สเปกโตรโฟโตมิเตอร์ หรือคัลเลอริมิเตอร์ ระบบการให้คะแนนสำหรับความคงทนของสีต่อการซักแห้งโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสเกล 1 ถึง 5 โดย 5 คือระดับความคงทนของสีสูงสุด
  • สรุปผล: ผลลัพธ์ของการทดสอบความคงทนของสีต่อการซักแห้งจะรายงานเป็นคะแนนในระดับ 1 ถึง 5 ผลลัพธ์สามารถใช้เพื่อกำหนดคุณภาพและความทนทานของสิ่งทอสี