fbpx

Wooden Blinds by Nitas Tessile

มู่ลี่ไม้เป็นม่านหน้าต่างประเภทหนึ่งที่ทำจากแผ่นไม้ที่ต่อเข้าด้วยกันด้วยเชือกหรือเทป เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับทั้งบ้านและสำนักงาน เนื่องจากให้ความเป็นส่วนตัวและการควบคุมแสง ในขณะที่เพิ่มสัมผัสที่เป็นธรรมชาติและคลาสสิกให้กับทุกพื้นที่

มู่ลี่ไม้มีพื้นผิวและขนาดต่างๆ ตั้งแต่เฉดสีอ่อนไปจนถึงสีเข้มของไม้ และสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับขนาดหรือรูปร่างของหน้าต่างใดๆ สามารถปรับดึงด้วยมือ หรือแท่งไม้ปรับ หรือควบคุมด้วยมอเตอร์ที่ช่วยให้ใช้งานสะดวกมากขึ้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของมู่ลี่ไม้คือความทนทานและทนต่อการสึกหรอ ทำให้เป็นการลงทุนที่ยาวนานสำหรับบ้านหรือที่ทำงาน นอกจากนี้ยังทำความสะอาดและบำรุงรักษาได้ง่ายโดยต้องใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปัดฝุ่นหรือเช็ดเป็นครั้งคราวเท่านั้น โดยรวมแล้ว มู่ลี่ไม้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายและมีสไตล์สำหรับทุกพื้นที่ ให้ทั้งการใช้งานจริงและความสวยงาม

ทำไม ใครๆก็เลือกผ้าลินิน

มาทำความรู้จักกับผ้าลินินกันเถอะ

ผ้าลินินเป็นผ้าที่นิยมมาก เพราะปัจจุบันผู้คนไกลห่างจากธรรมชาติ ผ้าลินินจึงเป็นผ้าที่ให้ความรู้สึกที่ธรรมชาติ อีกทั้งผ้าลินินยังสามารถตกแต่งกับบ้านได้หลากหลายสไตล์อีกด้วย นิยมนำมาทำเป็นผ้าม่าน และผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งที่มาของผ้าลินินนั้นทำมาจากเส้นใยของพืช ที่เรียกว่า “แฟล็กซ์” (Flax) ซึ่งพืชชนิดนี้มักปลูกกันในแถบยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ รัสเซีย เป็นต้น เส้นใยของมันนิยมนำมาทำเป็นเส้นใยผ้า เพราะเป็นเส้นใยที่เหนียว ทนทาน มีประวัติมายาวนานอีกด้วย และด้วยความแข็งแรงของผ้าลินินนี้ เมื่อก่อนจึงถูกนำมาใช้ห่อศพซึ่งเรียกว่า “มัมมี่” ทำให้ผ้าลินินนี้มีประวัติมายาวนานมาก

แฟลกซ์ (Flax) เป็นพืชตระกูล Linaceae ชอบอากาศอบอุ่นชื้น สามารถนำไปผลิตเป็นเส้นใย เส้นด้ายลินิน ซึ่งผลิตโดยการนำไปหมัก บด ต้มให้เปื่อย ปั่นออกมาเป็นเส้นใย พอได้เส้นใยมาก็นำไปเข้าเครื่องเพื่อหวี และเรียงกันให้เป็นขด สุดท้ายก็นำมาปั่นให้เป็นม้วนด้าย จึงออกมาเป็น ผ้าลินินนั่นเอง

คุณสมบัติของผ้าลินิน

ผ้าลินินเป็นผ้าที่สามารถช่วยระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี เส้นใยหักและยับค่อนข้างง่าย ไม่เก็บกลิ่นและความชื้น มีความทนทานเนื่องจากเส้นใยมีความเหนียว นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับน้ำได้ดีอีกด้วย หากนำไปสวมใส่จะทำให้เย็นสบาย เมื่อซักบ่อยๆ เนื้อผ้าจะมีความมัน ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ มีลักษณะคล้ายผ้าฝ้าย แต่ยืดหดได้น้อยกว่า ผ้าลินินมีหลายชนิด ตั้งแต่เนื้อละเอียดบางจนถึงเนื้อหยาบหนา นิยมนำมาใช้เป็นผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ เสื้อผ้า ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ผ้าลินิน กับสไตล์การตกแต่งบ้าน

ปัจจุบันการสร้างบ้านที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตัวบ้านมีความโดดเด่นสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะ และดูเป็นธรรมชาติ นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยาก การเลือกแบบบ้านถือเป็นโจทย์สำคัญ เพราะเราต้องอยู่กับบ้านไปอีกนาน ปัจจุบันรูปแบบบ้านมีความหลากหลายสไตล์มากขึ้น วันนี้ใครที่ยังไม่มีไอเดียแต่งบ้าน Nitas Tessile จะมาแนะนำอีกหนึ่งไอเดียออกแบบบ้านสไตล์ต่างๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งใช้ผ้าลินินร่วมด้วย จะมีสไตล์อะไรกันบ้างไปดูกันค่ะ

บ้านสไตล์สแกนดิเนเวียน (Scandinavian Style) หรือบ้านสไตล์นอร์ดิก (Nordic Style)
เป็นการตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีความเรียบง่าย อบอุ่น แม้จะใช้สีเอิร์ธโทนอย่างขาว เทา เบส แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ น่าดึงดูด สบายตา หน้าต่างบ้านจะมีความใหญ่ แสงสามารถลอดเข้ามาได้เยอะ เพราะจะทำให้ห้องดูกว้าง การตกแต่งแบบนี้มักจะมีความกลมกลืนไปกับธรรมชาติ เช่น มีการใช้ไม้ผสมผสานในการตกแต่งบ้าน มีการปลูกต้นไม้ภายในบ้าน เป็นต้น และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือ บ้านสไตล์นี้มักใช้ผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์จากธรรมชาติ เช่น ตัวผ้าแบบลินินในการตกแต่งบ้าน เพราะมีความเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายคล้ายกับธรรมชาติ และยังมีความอบอุ่นอีกด้วย

บ้านสไตล์มินิมอล (Minimal Style)
เป็นสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายภายในของชิ้นเดียว และเลือกใช้ของที่จำเป็นเท่านั้น ทุกอย่างจะถูกออกแบบให้มีความเป็นระเบียบ เอกลักษณ์ของสไตล์นี้คือ การตกแต่งที่มีสีอ่อนอย่างสีเอิร์ธโทน หรือสีโมโนโทน การตกแต่งบ้านสไตล์นี้ยังเว้นสเปซให้มีความกว้างพอสมควร ที่จะมองไปแล้วให้ความรู้สึกสบายตา ใช้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น ทำให้การตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลนั้นมีของน้อยชิ้นมากกว่าสไตล์อื่น และยังนำวัสดุที่ดูเรียบง่าย เข้าใจง่ายมาใช้ในการตกแต่ง เช่น ไม้ที่เป็นสีธรรมชาติ โดยไม่ทาสี ผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติอย่างผ้าลินิน และบ้านสไตล์นี้ยังนิยมสำหรับหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่รักความสงบ และชอบการตกแต่งบ้านที่เน้นความสะอาด โล่ง และสบายตา

บ้านสไตล์เนเชอรัล (Natural Style)
บ้านสไตล์ธรรมชาติ จะเป็นการนำธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบบ้าน เช่น ต้นไม้ ใบไม้ หินต่างๆ หรือวัสดุที่เลียนแบบธรรมชาติ เช่น ไม้เทียม หรือไม้สังเคราะห์ มาทดแทนไม้จริง เนื่องจากปัจจุบันวัสดุธรรมชาติค่อนข้างหายากขึ้น จึงถูกผลิตขึ้นมาทดแทน การตกแต่งผนังอาจปิดผิวด้วยวัสดุธรรมชาติต่างๆ เช่น หิน หรือไม้ หากเป็นโครงสร้างไม้ก็จะมีการโชว์โครงสร้างไม้ให้เห็นชัดเจน รวมทั้งการทำผนังปูนให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ หรือพิมพ์ลายบนผนังปูนเป็นลายธรรมชาติต่างๆ การตกแต่งภายในจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบขึ้นรูปจากธรรมชาติเช่นกัน ผ้าที่ใช้ในการตกแต่งส่วนใหญ่จะเป็นผ้าที่มาจากเส้นใยธรรมชาติ อย่างผ้าลินิน เพื่อผิวสัมผัสที่คล้ายกับธรรมชาติ และให้ความรู้สึกสบายตามากที่สุด

บ้านสไตล์ทรอปิคอล (Tropical Style)
Tropical Style นั้นนิยมนำมาใช้ออกแบบตกแต่งบ้านพักตากอากาศ หรือตกแต่งรีสอร์ท เพราะ Tropical หมายถึงเขตร้อนชื้น การตกแต่งจึงเน้นวัสดุจากธรรมชาติ ตกแต่งให้เข้ากับภูมิประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น จึงตกแต่งด้วยบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปพักร้อน ไม่ว่าจะเรื่องของโทนสีที่พบส่วนใหญ่จะเป็นสีที่เป็นไปตามธรรมชาติ หรือใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น นิยมนำไม้มาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ หน้าต่าง พื้นผนัง รวมถึงนำมาทำของตกแต่งภายในบ้าน และนิยมนำผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติมาใช้ในงาน เช่น ลินินมาตกแต่งเป็นผ้าม่าน หรือผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

จากสไตล์บ้านทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทุกสไตล์เน้นเรื่องของความเป็นธรรมชาติเหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่บ้านสไตล์ต่างๆ นี้เลือกใช้ผ้าม่าน และผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้าลินิน เพราะว่าผ้าลินินเป็นผ้าแบบฝ้ายดิบๆ มีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งาน เมื่อเกิดการเสียดสีบ่อยๆ ทำให้ผ้าเสียหายได้ยาก อีกทั้งเมื่อใช้เป็นผ้าม่าน ผ้าลินินจะทิ้งตัวสวยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เข้ากับงานออกแบบของโครงสร้างตึกต่างๆได้ดี ตัวเนื้อผ้าไม่ได้ทึบจนเกินไป ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโปร่งโล่งสบาย แสงสามารถลอดเข้ามาได้ส่วนหนึ่ง เห็นทัศนียภาพรอบตัวบ้านได้ ซึ่งทำให้ห้องดูกว้างเป็นธรรมชาติมากขึ้น และเมื่อใช้ไม้ในการตกแต่งบ้าน หรือใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ทำให้บ้านดูกลมกลืนกันอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย

ถ้าใครชื่นชอบสไตล์บ้านดังกล่าวก็อย่าลืมไปหาผ้าลินินมาตกแต่งบ้านกันด้วยนะคะ ^^

ผ้าของนิทัสมีตัวไหนบ้าง ที่เป็นลินินกันนะ?

หลังจากที่นิทัสได้พาชมสไตล์บ้านต่างๆ แล้ว ใครที่ชื่นชอบผ้าลินิน และอยากทราบว่าที่บริษัทนิทัสมีผ้าลินินกี่ตัว แบบไหนบ้าง วันนี้ทางนิทัสจะมาแนะนำผ้าม่าน และผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้าลินินของทางบริษัทเราดังนี้ค่ะ

ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ : 30010 SMART, 30013 ROMAN, 30018 GREEK, 30024 PERIOD, 30036 CRYSTAL30042 CAPPADOCIA, 30044 MACEDONIA, 30053 ATLANTIS, 30061 TIMANFAYA, 30062 PENISULA, 30063 SIERRA, 30064 NEVADA

ผ้าที่เป็นได้ทั้งผ้าม่าน และผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ : 10528 CANVAS, 30065 CABRERA, 30066 PARADISO, 30067 ORDESA, 30068 BASILICA, 30069 PERITO, 40008 LHASA

ผ้าม่าน :  10529 NEAT

ผ้าม่านโปร่ง : 10977 KNITTING SHEER90011 VENUS90026 CHAMPAGNE

หรือต้องการหาผ้าที่ที่มีลักษณะ Natural looks ได้ที่ คลิ้กเลย

สุดท้ายนี้ใครที่อยากสัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติภายในบ้าน เป็นสายคลีน รวมถึงชื่อชอบบ้านสไตล์ต่างๆ ที่ทางนิทัสได้แนะนำไปก็อย่าลืมมีผ้าลินินติดบ้านไว้ด้วยนะคะ

หัวข้อถัดไป นิทัสจะพาไปเรียนรู้ และแนะนำอะไรใหม่ๆอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^

หน้าต่างแบบต่างๆ

หน้าต่างมีหลากหลายประเภทและชื่อเรียก วันนี้นิทัสเราพามาดูกันดีกว่า ว่าหน้าต่างมีแบบไหนบ้าง ถ้าเราจะแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่

  1. วัสดุที่นำมาทำหน้าต่าง เช่น หน้าต่างไม้ หน้าต่างกระจก-อลูมิเนียม เป็นต้น
  2. ลักษณะการเปิด-เปิด เช่น บานเปิด, บานสไลด์, บานยก เป็นต้น
  3. รูปแบบเฉพาะของชุดหน้าต่าง

แบ่งตามลักษณะการเปิด

บานตาย (เปิดไม่ได้)

บานฟิกซ์ Fixed Windows : บานกระจกที่ปิดตายไม่สามารถเปิดได้ ทำให้สามารถมองเห็นได้ แสงเข้าได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังกันน้ำรั่วซึมตามขอบกระจกได้แนบสนิท และยังไม่เกะกะกับพื้นที่ใช้สอยภายในภายนอกอีกด้วย แต่ข้อเสียของกระจกบานฟิกซ์คือ ไม่สามารถระบายอากาศได้ 


บานเปิดตามจุดหมุน

หน้าต่างบานเปิด Casement Windows : หน้าต่างบานเปิดเป็นหน้าต่างที่มีการใช้มากที่สุด มีให้เลือกหลายวัสดุ สามารถเปิดรับแสง และลมได้ดี ช่วยกำหนดทิศทางการระบายอากาศได้ แต่เมื่อเปิดหน้าต่างอาจส่งผลต่อพื้นที่ภายนอก เพราะจะกีดขวางทางเดินรอบตัวบ้าน ดังนั้นจึงนิยมใช้กับบ้านสองชั้นขึ้นไป

หน้าต่างบานกระทุ้ง Awning Windows: นิยมใช้ในต่างประเทศ เพื่อต้องการแสง แต่ไม่ต้องการให้สูญเสียอุณหภูมิในห้องมากนัก เหมาะกับพื้นที่ที่จำกัด สามารถระบายอากาศได้ดีตลอดเวลา มีความสูงมากกว่าความกว้าง จึงช่วยทำให้การออกแบบหลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

หน้าต่างบานหมุน Pivoted Windows: มีทั้งการหมุนเปิดทั้งแนวตั้งและแนวนอน ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่มักจะเป็นในรูปแบบของงานออกแบบตกแต่ง เพื่อเพิ่มความน่าสนใจแปลกตา นั่นก็เพราะจุดหมุนซึ่งอยู่ตรงกลางทำให้หน้าต่างสามารถหมุนออกได้เพียง 90 องศา

หน้าต่างทิ้วแอนด์เทิร์น Tilt and Turn Windows : เป็นนวัตกรรมพิเศษของตัวบาน และกลไกลของวงกบในการเปิด ซึ่งสามารถเปิดได้แบบบานสวิงปกติ และสามารถเปิดแง้มด้านบนได้อีกด้วย มักพบในโรงแรมต่างประเทศ ทำให้สามารถเปิดรับลม และแสงได้เพื่อความปลอดภัย ตามมาด้วยราคาที่สูง ในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมมากนัก

หน้าต่างบานเฟี้ยม Folding Windows: เป็นการแก้ปัญหาของการกินพื้นที่ของหน้าต่างบานเปิดปกติ โดยการแบ่งตัวบานให้เป็นบานพับเป็นท่อนๆ สามารถลดพื้นที่ได้ดี สามารถเปิดได้กว้าง แต่มีข้อเสียเรื่องความแข็งแรง และราคาที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับหน้าต่างปกติทั่วไป


บานเลื่อน หรือบานสไลด์

หน้าต่างบานสไลด์ Sliding Windows: ด้วยเทคโนโลยีทางด้านวัสดุในปัจจุบันที่นิยมใช้อลูมิเนียม และกระจกเข้ามาทดแทนหน้าต่างไม้ ด้วยรูปแบบของหน้าต่างสไลด์ ที่ไม่กินเนื้อที่ในวงสวิงการเปิด เป็นที่นิยมสูงสุดในปัจจุบัน มีทั้งแบบเป็นบานฟิกซ์หนึ่งด้าน และอีกด้านสไลด์ หรือจะเป็นแบบสไลด์ทั้งสองบาน

หน้าต่างบนยก Sash Windows: เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหน้าต่างบานสไลด์แต่จะสไลด์ขึ้นด้านบนแทน
ไม่กินเนื้อที่ในวงสวิงในการเปิด ส่วนใหญ่จะเป็นบานฟิกซ์ข้างบน และบานยกด้านล่าง มักเจอกับบ้านสไตล์ยุโรปที่ต้องการแสงสว่าง แต่ไม่ต้องการสูญเสียอุณหภูมิภายในห้อง


หน้าต่างบานเกล็ดไม้  Louvered Windows: เป็นหน้าต่างที่นิยมในแถบประเทศเมืองร้อน ต้องการอากาศถ่ายเท พลางสายตา เป็นได้ทั้งหน้าต่างบานฟิกซ์ บานเปิด และบานกระทุ้งพบในบ้านสมัยก่อน สมัยที่หน้าต่างส่วนใหญ่ยังเป็นวัสดุไม้ ในปัจจุบันจะปรับใช้เป็นช่องระบายอากาศ

หน้าต่างบานเกล็ดกระจก ปรับได้ Jalousie Windows: เป็นหน้าต่างที่นิยมมากในสมัยก่อน เพราะให้ทัศนวิสัยที่ดี ไม่เสียพื้นที่ในการเปิดปิด ระบายอากาศดี เพราะสามารถปรับหน้าต่างได้ มีหลากหลายประเภทและชื่อเรียก


รูปแบบลักษณะของชุดบานหน้าต่าง

หน้าต่างเข้ามุม Corner Window : เป็นที่นิยมกับบ้าน และคอนโดสมัยนี้ เปิดองศาการมองเห็นได้ดี แต่อาจต้องใส่ใจในเรื่องของการติดตั้งม่านเป็นพิเศษ

เบย์วินโดว์ Bay Window: หน้าต่างยื่นออกจากตัวทรงสี่เหลี่ยมคางหมู มักเห็นในบ้านสไตล์ยุโรป สามารถเปิดรับทัศนียภาพโดยรอบได้ในมุมมองที่กว้างมากขึ้น จากหน้าต่างทางด้านซ้าย-ขวาที่ตั้งอยู่ในมุมเฉียง ในเรื่องของมุมมองที่กว้างขึ้นแล้ว ยังเป็นมุมมองที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ใกล้กับวิวภายนอกได้มากยิ่งขึ้น  ทำให้แสงสามารถส่องเข้ามาในห้องได้ดีอีกด้วย

โบว์วินโดว์ Bow Windows: หน้าต่างยื่นออกจากตัวทรงโค้ง มักเห็นในบ้านสไตล์ยุโรป แต่เป็นที่สังเกตว่า ทรงของผนังโค้งก็จริงแต่ตัวกรอบของบานกระจกก็จะเป็นแผ่นตรงขนาดไม่กว้างต่อๆ กันให้เป็นตรงโค้ง และในส่วนของความหนาของผนังก็จะหนากว่าปกติ เพื่อให้มีพื้นที่ในการโค้งอีกด้วย

หน้าต่างทรงเรือนกระจก Garden Windows: หน้าต่างยื่นออกจากบ้าน และได้แสงจากหลังคากระจกด้านบน นิยมทำในบ้านสไตล์ยุโรปที่ต้องการแสงสว่างจำนวนมาก เพื่อต้องการปลูกต้นไม้ภายในที่ต้องการแสงแดด ส่งเสริมความมีชีวิตชีวาจากต้นไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนเรือนกระจกขนาดย่อมๆในบ้าน


นวัตกรรมผ้ากันไวรัส Anti Virus

ISO 18184:2019 Textiles — Determination of the antiviral activity of textile products

ISO 18184:2019 เป็นมาตรฐานวิธีการทดสอบสมรรถนะการต้านทานเชื้อไวรัสของผ้าและเนื้อผ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ติดต่อกับผ้าและเนื้อผ้าได้ เช่น เชื้อไวรัสโคโรนา และเป็นการทดสอบความสามารถในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสบนผ้าและเนื้อผ้า

ขั้นตอนของ ISO 18184:2019 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

  1. เตรียมตัวต้นแบบ (Prototype Preparation) – การเตรียมตัวต้นแบบผ้าทดสอบ ซึ่งจะต้องเป็นผ้าและเนื้อผ้าที่สามารถทดสอบได้เท่านั้น โดยผ่านการกำหนดขนาดผ้าและเนื้อผ้า เตรียมตัวผ้าเพื่อให้มีความเปียกชุ่ม (Wetting), และใช้วิธีการตัดผ้าสำหรับทดสอบเข้ากับตัวเครื่องทดสอบ
  2. การทดสอบ (Test Procedure) – การทดสอบการต้านทานเชื้อไวรัสของผ้าและเนื้อผ้า โดยวิธีการทดสอบคือการใช้เชื้อไวรัสที่กำหนดมาในการทดสอบ นำไปสัมผัสกับผ้าและเนื้อผ้าที่เตรียมไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า และวัดปริมาณของเชื้อไวรัสที่เหลืออยู่บนผ้าและเนื้อผ้า โดยใช้เทคนิคการวัดความเจือจางของเชื้อไวรัส นับเป็นจำนวนก้อน (Plaque)
  3. การประเมินผล (Result Evaluation) – การประเมินผลการทดสอบ โดยใช้ค่าปริมาณเชื้อไวรัสที่เหลืออยู่บนผ้าและเนื้อผ้า และนำไปคำนวณเป็นคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน เพื่อประเมินความสามารถในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสบนผ้าและเนื้อผ้า

ด้วยการทดสอบตามมาตรฐาน ISO 18184:2019 จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ติดต่อกับผ้าและเนื้อผ้าได้ และช่วยให้ผู้ผลิตผ้าและเนื้อผ้าได้รับการประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการต้านทานเชื้อไวรัสอย่างแท้จริง โดยการทดสอบด้วยมาตรฐานที่มีความเป็นมาตรฐานสากลจะช่วยให้ผู้บริโภคได้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งานผ้าและเนื้อผ้าในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

ทาสีห้องใหม่ ต้องใช้สีเท่าไหร่

อันดับแรก คำนวนพื้นที่ผนังแต่ละด้านที่ต้องการทาสี โดยใช้ตลับเมตรวัด ความกว้างx ความสูงของผนังทุกด้าน คำนวนพื้นที่ ตารางเมตร 

ตัวอย่างรูป

มีผนัง 3 ด้าน ประกอบด้วย ผนัง A, B และ C

  • การคำนวนคือผลรวม (ผนัง A กว้างxสูง)+(ผนัง B กว้างxสูง)+(ผนัง C กว้างxสูง)

มีประตู A และ หน้าต่าง B, C และ D

  • การคำนวนคือผลรวม (ประตู A กว้างxสูง)+(หน้าต่าง B กว้างxสูง)+(หน้าต่าง C กว้างxสูง)+(หน้าต่าง D กว้างxสูง)


จากนั้น นำตัวเลขที่ได้ มาเข้าการคำนวนดังนี้



มาดูกันว่า ถังสีในท้องตลาดมีขนากปัจจุเท่าใดบ้าง และเราควรจะเลือกซื้อขนาดเท่าใดถึงจะเหมาะสม

  • ถังสี ถังเล็ก หรือถัง 1 แกลลอน ทาสีได้ 15 ตรม. (ทา 2 รอบ)
  • ถังสี ถังกลาง หรือถัง 3 แกลลอน ทาสีได้ 45 ตรม. (ทา 2 รอบ)
  • ถังสี ถังใหญ่ หรือถัง 5 แกลลอน ทาสีได้ 75 ตรม. (ทา 2 รอบ)

ผ้าม่านสีเข้มห้องแคบ ผ้าม่านสีอ่อนห้องกว้าง จริงหรือ?

ผ้าม่านสีเข้มจะทำให้ห้องดูเล็กลงและแคบมากขึ้น เพราะจะดูดซับแสงได้มากกว่าแต่ก็สร้างความรู้สึกลึกให้กับห้องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผ้าม่านสีอ่อนไม่ได้ทำให้ห้องดูกว้างเสมอไป

นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ สีสัน เท็กเจอร์ และลวดลายของผ้าม่านก็มีผลกระทบต่อการรับรู้ขนาดและบรรยากาศของห้อง ผ้าม่านสีอ่อนสามารถสะท้อนแสงธรรมชาติได้มากกว่า ซึ่งสร้างความสว่างและความรู้สึกโปร่งโล่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความหนา-บางของผ้าม่านก็ส่งผลต่อพื้นที่ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผ้าม่านหนาสีอ่อนสามารถสร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง ในขณะที่ผ้าม่านโปร่งแสงหรือกึ่งโปร่งแสงสามารถให้ความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย

โดยรวมแล้ว การเลือกผ้าม่านขึ้นอยู่กับสไตล์โดยรวมและบรรยากาศที่ต้องการของห้อง รวมถึงปริมาณแสงธรรมชาติและองค์ประกอบอื่นๆ ในการออกแบบ


  • ผ้าม่านสีอ่อน มีการสะท้อนแสงที่มากกว่า ผ้าสีเข้ม จึงทำให้แสงจากแห่งกำเนิดแสง มีการสะท้อนและกระจายได้มากกว่า ซึ่งทำให้ห้องโดยรวมดูสว่างกว่า เมื่อเปรียบเทียบห้องที่ผ้าม่านสีเข้มกว่า จึงทำให้ห้องดูเสมือนว่า ห้องกว้างนั้นเอง
  • เหมาะกับห้อง สไตล์อบอุ่น ร่วมสมัย ห้องที่ต้องการความส่าง ความแอคทีฟ ต้องการสะท้อนของแสงมาก เช่น ห้องรับแขก, ห้องนั่งเล่น, ห้องทำงาน เป็นต้น

  • ผ้าม่านสีเข้ม จะมีการสะท้อนแสงที่น้อยกว่า ผ้าสีอ่อน จึงทำให้แสงจากแห่งกำเนิดแสง มีการสะท้อนและกระจายได้น้อยกว่า ซึ่งทำให้ห้องโดยรวมดูมืดกว่า เมื่อเปรียบเทียบห้องที่ผ้าม่านสีอ่อนกว่า จึงทำให้ดูเสมือนว่าห้องแคปนั้นเอง
  • เหมาะกับห้อง สไตล์โมเดิร์น หรูหร่า ห้องที่ต้องการความสงบ ไม่ต้องการสะท้อนของแสงไม่เยอะมาก เช่น ห้องนอน เป็นต้น

เลือกผ้าม่านอย่างไร ให้เหมาะสมกับทิศของห้อง?

ทิศทางการขึ้นของดวงอาทิตย์ของประเทศไทย และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มขึ้นจากทิศตะวันออก จากนั้นอ้อมโค้งไปทางทิศใต้ และตกทางทิศตะวันตก เป็นเวลาประมาณ 8 เดือน คือกันยายนจนถึงเมษายน ดังนั้นทิศใต้และทิศตะวันตกจะเป็นทิศที่ได้รับความร้อนมากที่สุด ประมาณ 8-9 เดือนต่อปี การวางตำแหน่งห้องในทิศนี้จึงควรเป็นห้องที่ต้องการความร้อน ควรหลีกเลี่ยงห้องที่ต้องทำกิจกรรมตอนเย็นถึงค่ำ 

ส่วนทิศตะวันออกจะได้รับแสงในตอนเช้าถึงเที่ยงซึ่งเป็นแดดที่ไม่แรง และทิศเหนือเป็นทิศที่รับแสงแดดน้อยที่สุด ดังนั้นสองทิศนี้จึงควรวางตำแหน่งของห้องที่ไม่ต้องการความร้อน ควรเป็นห้องที่ใช้ทำกิจกรรมระหว่างวัน และพักผ่อน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น เป็นต้น นอกจากนั้นควรจัดวางด้านแคบของตัวบ้านหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่รับแสงแดด เพื่อให้มีพื้นที่ผนังที่รับแสงแดดน้อยที่สุด เนื่องจากผนังอาคารจะดูดซับความร้อนไว้ในเวลากลางวันและคายความร้อนออกมาในเวลากลางคืน ดังนั้นเมื่อมีพื้นที่ผนังที่โดนแสงแดดน้อยจึงดูดกลืนความร้อนในปริมาณน้อยและคายความร้อนออกมาน้อย ทำให้ภายในบ้านไม่ร้อนจนเกิดไปในเวลากลางคืน

แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห้องนั้นอยู่สบาย หลายคนคงประสบปัญหาห้องโดนแดดมากไปจนทำให้ร้อน หรือห้องโดนแดดไม่เพียงพอทำให้อับชื้น วันนี้เราจึงพาทุกคนไปเลือกผ้าม่านให้เหมาะสมกับทิศทางของห้อง เพราะผ้าม่านนอกจากจะใช้ตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว ยังสามารถกรองแสง หรือกันแสงให้กับห้องได้อีกด้วย งั้นเราไปดูกันเลยว่าผ้าม่านแบบไหน เหมาะกับห้องทิศใด

ห้องทิศตะวันออก ‘แสงแดดยามเช้าจะให้ความอบอุ่น หากมันไม่ได้ส่องห้องของคุณมากเกินไป’ ทิศตะวันออกเป็นทิศขึ้นของพระอาทิตย์ ดังนั้นห้องทิศตะวันออก จึงได้รับแดดอ่อนๆ ในยามเช้าตลอดทั้งปี ซึ่งลักษณะแดดยามเช้าจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย ช่วยปลุกร่างกายที่กำลังตื่นนอนได้เป็นอย่างดี และแสงแดดจะค่อยๆ หายไปในยามบ่าย แม้จะเป็นแสงแดด แต่ทางด้านทิศตะวันออกจะไม่ค่อยมีลมทำให้รู้สึกอบอ้าว

ผ้าม่านที่เหมาะกับห้องทิศตะวันออก

  • ผ้าม่าน (Curtain) หากคุณเป็นคนที่ชอบรับแสงในยามเช้าของทุกวัน สามารถใช้ผ้าม่านปกติในการตกแต่งห้องทิศตะวันออกได้ โดยผ้าม่านปกติ สามารถกรองแสงได้ประมาณ 50%
  • ผ้าม่านกันแสง (Dim-out Curtain) หากไม่ชอบให้ห้องดูมืดสนิทมากเกินไป ผ้าม่านกันแสงสามารถทำให้ห้องของคุณมีความสว่างเล็กน้อย ไม่ดูอึดอัดมากไป เนื่องจากผ้าม่านกันแสง สามารถกันแสงได้ถึง 80%
  • ผ้าม่านม่านโปร่ง (Sheer) ใช้เป็นตัวเสริมอีกชั้นจากผ้าม่านหลัก ช่วยกรองแสงให้นุ่มนวลขึ้น พลางสายตาบางส่วนจากคนภายนอก และส่งเสริมบรรยากาศของห้องให้ดูสวยขึ้นอีกด้วย

ห้องทิศตะวันตก ห้องทิศตะวันตกเป็นห้องที่ได้รับแสงแดดตั้งแต่ช่วงบ่ายตลอดทั้งปี ซึ่งแดดยามบ่ายจะมีอุณหภูมิสูงมาก เพราะฉะนั้นห้องทิศตะวันตกจะร้อนมาก และสะสมความร้อนจนถึงช่วงพลบค่ำ แม้ว่าแดดจะแรงแต่ควรให้ห้องได้รับแสงแดดบ้าง เพื่อช่วยลดกลิ่นอับ และช่วยฆ่าเชื้อโรค

ผ้าม่านที่เหมาะกับห้องทิศตะวันตก

  • ผ้าม่านทึบแสง 100% (Black Out Curtain) หากในชีวิตประจำวันคุณจำเป็นต้องใช้ห้องทิศตะวันตก ผ้าม่านกันแสง 100% จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับห้องทิศนี้ ทำให้แสงแดดไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาในห้องได้ ช่วยให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นลง และสามารถช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศอีกด้วย
  • ผ้าม่านม่านโปร่ง (Sheer) ใช้เป็นตัวเสริมอีกชั้นจากผ้าม่านหลัก ช่วยกรองแสงให้นุ่มนวลขึ้น พลางสายตาบางส่วนจากคนภายนอก และส่งเสริมบรรยากาศของห้องให้ดูสวยขึ้นอีกด้วย

ห้องทิศใต้ ห้องทิศใต้จะได้รับแดดตั้งแต่ช่วงสาย ถึงบ่าย และในเดือนกันยายน จนถึงมีนาคมห้องทิศใต้จะได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน ทำให้ห้องทิศใต้มีอากาศร้อนมากในช่วงสาย จนถึงบ่าย และทางทิศใต้จะได้รับลมในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน ดังนั้น ห้องทางทิศใต้ควรจะสามารถรับลมได้ดี เพื่อให้ห้องเย็นขึ้น แต่ต้องบังแดดที่เข้ามาทางทิศนี้ด้วย

ผ้าม่านที่เหมาะกับห้องทิศใต้

  • ผ้าม่านทึบแสง 100% (Black Out Curtain) ทิศใต้ได้รับแดดพอๆ กับทิศตะวันออกและเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ห้องทิศใต้จึงจำเป็นต้องใช้ผ้าม่านกันแสง 100% ในการบังแดดร้อนในช่วงสาย ถึงบ่าย
  • ผ้าม่านกันแสง (Dim-out Curtain) หากไม่ชอบให้ห้องดูมืดสนิทมากเกินไป ผ้าม่านกันแสงสามารถทำให้ห้องของคุณมีความสว่างเล็กน้อย ไม่ดูอึดอัดมากไป เนื่องจากผ้าม่านกันแสง สามารถกันแสงได้ถึง 80%
  • ผ้าม่านม่านโปร่ง (Sheer) ใช้เป็นตัวเสริมอีกชั้นจากผ้าม่านหลัก ช่วยกรองแสงให้นุ่มนวลขึ้น พลางสายตาบางส่วนจากคนภายนอก และส่งเสริมบรรยากาศของห้องให้ดูสวยขึ้นอีกด้วย

ห้องทิศเหนือ ห้องทิศเหนือ เป็นห้องที่ได้รับแสงแดดน้อยมาก เนื่องจากพรอาอาทิตย์จะโคจรอ้อมไปทิศใต้ โดยทั้งปีห้องทิศเหนือจะได้รับแสงเพียงแค่ฤดูหนาว ทำให้ทิศเหนือได้รับร่มเงาจากอาคารตลอดช่วงบ่าย ดังนั้น อากาศของทิศเหนือจึงสบายกว่าห้องทางทิศอื่นๆ

ผ้าม่านที่เหมาะกับห้องทิศเหนือ

  • ผ้าม่าน (Curtain) ห้องทิศเหนือเป็นห้องที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรงทั้งวัน การใช้ผ้าม่านธรรมดา จึงใช้เพื่อการตกแต่งให้ห้องสวยงาม น่าอยู่มากขึ้น และไม่ทำให้ห้องดูทึบเกินไป
  • ผ้าม่านม่านโปร่ง (Sheer) ใช้เป็นตัวเสริมอีกชั้นจากผ้าม่านหลัก ช่วยกรองแสงให้นุ่มนวลขึ้น พลางสายตาบางส่วนจากคนภายนอก และส่งเสริมบรรยากาศของห้องให้ดูสวยขึ้นอีกด้วย

คำนวณตารางหลา คิดยังไงนะ?

หลายคนอาจปวดหัวว่า การขายผ้าม่านบางชนิด ไม่ได้ขายเป็นตารางเมตร หรือหลา (ขายเป็นหลา? วิธีคำนวนหลาเป็นเมตร) แต่ขายเป็นตารางเมตร หรือตารางหลาแทน โดยเฉพาะม่านประเภทม่านม้วน (Roller Blinds) หรือมู่ลี่ (Wooden Blinds) ในตลาดส่วนใหญ่มักจะคำนวนการขายเป็นตารางเมตร หรือตารางหลา ในส่วนของตารางเมตรนั้นคงไม่มีปัญหา เพราะสามารถเอาความกว้างของหน้าผ้า(เมตร) x ความยาวของผ้า(เมตร) ได้เลย คงไม่ใช่ปัญหาในการคำนวน แต่ตารางหลานั้น คิดยากกว่าแน่นอน วันนี้นิทัส เทสซิเล จะมาช่วยคุณคำนวนตารางหลาให้ง่ายขึ้น ด้วยโปรแกรมคำนวนตารางหลาด้านล่างนี้

วิธีคำนวนตารางหลา

(ความกว้าง(เมตร)/0.9) x (ความยาว(เมตร)/0.9) = ตารางหลา


ผ้าสีเพี้ยน!!! โทษใครดี

ผ้าสีเพี้ยน!!! โทษใครดี “จะโทษดินจะโทษน้ำ จะโทษเดือนและดาว กับเรื่องราวที่ปวดร้าว ที่เธอมาทำแล้วหนีไป” ก่อนที่เราจะมาโทษใครดีเรามาดูกันดีกว่าว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่เวลาเราเห็นสีผ้าเพี้ยนแตกต่างออกไป หรือเมื่อเราติดผ้าม่านที่บ้านเสร็จแล้ว ปรากฎว่าสีมันไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ เรามาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้เรา เห็นสีผ้าเพี้ยนไปจากความเป็นจริงมีอะไรบ้าง

  • สีเพี้ยนจากการดูสีผ้าผ่านหน้าจอ เช่น อุปกรณ์ถ่ายรูป, การดูสีผ้าผ่านจอมือถือ
  • สีเพี้ยนจากการมองเห็นสีผ้าจริง เช่น การมองเห็นในบรรยากาศแสงที่ต่างกัน, มุมมอง และ ระยะการมอง, ขนาดของชิ้นผ้า, ใส่แว่นที่มีแลนส์แบบพิเศษ
  • สีเพี้ยนจากตัวผ้าเอง เช่น ชนิดของเส้นด้าย, ชนิดของผ้า, ผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติ, ผ้าต่างรอบการผลิต, การซีดจางจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน, การซีดจางจากการซัก
  1. การดูสีผ้าผ่านหน้าจอ ในปัจจุบันการเลือกซื้อของ ต่างมาอยู่ในระบบออนไลน์โดยส่วนใหญ่ ซึ่งธุรกิจการขายผ้าก็เข้ามาอยู่ในระบบนี้เช่นกัน แต่ด้วยเรื่องของสีผ้าก็เป็นปัญหาที่ตามมาด้วยเช่นกัน เพราะด้วยเหตุนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยที่ทำให้สีเพี๊ยนเวลาเราดูตัวอย่างผ้า ผ่านการดูผ่านหน้าจอแสดงผลต่างๆ มีอะไรบ้าง
    • อุปกรณ์นำเข้ารูป เมื่อพูดถึงอุปกรณ์ในการเก็บรูปภาพในการทำตัวอย่างเพื่อนำเสนอนั้น ก็จะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกันคือ การถ่ายรูป และ การใช้เครื่องสแกน ทั้งสองอย่างนี้มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันคือ
      • การถ่ายรูป เป็นที่นิยมสูง เห็นภาพได้ค่อนข้างเหมือนจริง สามารถถ่ายผืนใหญ่เท่าไหร่ก็ได้ ข้อเสียคือมีความเพี้ยนของสีสูง ประกอบด้วยหลายปัจจัยมาก เช่น ถ่ายแสงจากธรรมชาติ หรือถ่ายแสงจากหลอดไฟซึ่งก็มีหลากหลายชนิด, มุมการถ่าย, ชนิดกล้องที่ถ่ายไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป หรือกล้องมือถือที่หลากหลายยี่ห้อมาก เป็นต้น และที่สำคัญเราไม่สามารถจับสัดส่วนภาพจริงได้ว่า ลายผ้าที่ถ่ายนี้ มีขนาดจริงเท่าไหร่
      • การสแกนผ้า เป็นที่นิยมในการทำตัวอย่างผ้าแบบสมัยใหม่ เพราะสามารถเห็นดีเทลของเนื้อผ้าชัดเจน สามารถเทียบสัดส่วนของลายผ้าได้จริง มีความเท่ากันของแสงทั่วทั้งผืน ข้อเสียคือ ไม่สามารถสแกนผ้าชิ้นใหญ่ได้เต็มหน้าผ้า ซึ่งปกติหน้าเครื่องจะมีอยู่ประมาณขนาด A4 เท่านั้น และปัญหาอีกอย่างคือ ถ้าผ้านั้นเป็นแบบที่มีการทอพิเศษ เช่น ผ้ากำมะหยี่ Velvet ที่เป็นลักษณะเป็นขนๆ เล็กๆ เวลาสแกนก็จะเกินความเพี้ยนสูง หรือผ้าที่มีลักษณะของเส้นด้ายมันเงา ในการสแกนก็จะไม่เห็นมิติของความเงาเท่ากับการถ่ายรูปจริงในลักษณะผ้าที่มีการเข้าลอน ที่จะเห็นความเงาของเนื้อผ้าได้อย่างชัดเจน
  • จอแสดงผล แน่นนอนว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการดูในมือถือ และการดูในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีปัจจัยทั้ง รูปแบบของชนิดจอ LED, OLED ฯลฯ และยี้ห้อของจอชนิดนั้นๆ เช่น หน้าจอของมือถือยี่ห้อหนึ่งเทียบกับมือถืออีกยี่ห้อหนึ่ง ในการเปิดรูปเดียวกันก็จะแสดงรูปสีสันที่ไม่เท่ากัน 100% ขึ้นอยู่กับ อุปกรณ์, ซอฟแวร์ และระบบการประมวนผลของยี้ห้อนั้นๆ ด้วย เช่นบางยี่ห้ออาจดูติดเหลือง หรือติดแดง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดอันที่ถกเถียงกันอย่างมาก คือโดยปกติแล้วมือถือหลายคนชอบปรับระดับความสว่างต่ำๆในการใช้งานปกตินั้นอาจไม่ส่งผลอะไรมาก แต่การดูสีผ้านั้นจำเป็นต้องปรับให้ความสว่างสูงสุด เพื่อความถูกต้องในการเห็นสี เพราะสามารถ เกิดขึ้นได้ว่าผ้าที่เห็นนั้นเป็นสีขาว หรือสีเทาอ่อนกันแน่ การปรับความสว่างหน้าจอที่ไม่เพียงพอจะทำให้การตัดสินใจพลาดได้

2. การมองเห็นสีผ้าจริง แม้ว่าเราจะเห็นตัวอย่างผ้าของจริงแล้วก็ตาม แต่ความเพี้ยนของสีผ้าก็ยังสามารถเกินขึ้นอีกหลายปัจจัยดังนี้

  • การมองเห็นในบรรยากาศแสงที่ต่างกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตุ หรือไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะการที่เราเลือกผ้าจากตัวอย่างที่เห็น โดยเลือกผ่านบรรยากาศไฟที่ต่างกันสีผ้าก็จะต่างกันด้วย เช่น เราเข้าไปที่ร้านผ้าม่านเลือกตัวอย่างผ้าที่เห็นโดยร้านม่านนั้น ติดไฟวอร์มไวท์ หรือไฟที่ออกสีเหลืองนั้นเอง โดยเราเลือกผ้าในบรรยากาศแสงนั้น และสรุปได้ผ้าที่ต้องการสีเป็นสีน้ำตาลเทาๆ แต่ปรากฎว่านำมาติดตั้งที่บ้านเป็นสีเทา เนื่องจากห้องที่ติดเป็นหลอดไฟแบบเดย์ไลท์ สามารถอ่านข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติม
  • มุมมอง และระยะการมองผ้า ผ้าเป็นวัสดุที่มีมิติการมองเห็นที่เมื่อเรามองต่างมุมกันออกไป ก็จะส่งผลให้เห็นลักษณะความเข้มอ่อน ความเงาด้าน หรือการปรากฎลวดลายที่ชัดเจน หรือหายไปกับระยะการมองได้เช่นกัน เช่น การตัดสินใจซื้อผ้าจากตัวอย่างผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งมองห่างจากระยะสายตา ไม่เกิน 1 เมตร แต่เมื่อเราติดตั้งผ้าม่านนั้นจริง ซึ่งระยะ การมองเห็นผ้าม่านในระยะใช้งานจริง มากกว่า 2 เมตร ซึ่งลักษณะของเท็กเจอร์ที่ปรากฎในการมองระยะใกล้ ก็อาจกลายเป็นอีกลักษณะหนึ่ง หรือหายไป เป็นเพียงลายเรียบๆ ก็เป็นได้
  • ขนาดของชิ้นผ้า ปกติเมื่อเราเลือกผ้าจากเล่มตัวอย่าง ชิ้นเล็กๆ กับผ้าม่านจริงเราจะรู้สึกว่าผ้านั้นสีเข้มกว่า หรือ สดกว่าที่เราจำได้ว่าเลือกตอนอยู่ที่ร้านผ้าม่าน เป็นเพราะสายตาของเราตอนเลือกผ้าจากเล่ม มีสีอื่นๆ มากวนสายตาด้วย และส่วนใหญ่ผ้าจะติดอยู่กับกระดาษสีขาว ซึ่งตัวกระดาษสีขาวนี้เอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรบกวนการมองเห็นเช่นกัน ตัวอย่างรูปด้านล่าง
    • รูป A สี่เหลี่ยมสีเทาตรงกลาง เมื่อเทียบกับสีเทาอ่อนทางซ้ายมือ ก็จะเห็นเป็นสีเทานั้นเข้มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับสีเทาด้านขวามือ ก็จะดูเป็นสีเทาอ่อนลง
    • รูป B สี่เหลี่ยมสีแดงตรงกลาง เมื่อเทียบสีแดงทางซ้ายมือ ก็จะดูสีแดงนั้นสดเข้มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับรูปสีแดงด้านขวา ก็จะเห็นเป็นสีแดงซีดจางลงนั้นเอง
  • ใส่แว่นที่มีเลนส์แบบพิเศษ อาจเป็นปัญหาของการสื่อสารกันระหว่างบุคคลที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดย ไม่ทันคิดมาก่อน ปกติคนที่สายตาสั้นหรือยาว ใส่แว่นเลนส์แบบ ธรรมดา ย่อบาง และมัลติโค้ตตัดแสงสะท้อนทั่วไป ก็ไม่เป็นปัญหาในการมองเห็น แต่มีเลนส์ชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมสูงในปัจจุบันคือเลนส์แบบ มัลติโค้ตตัดแสงสีฟ้า, บลูคัท หรือ บลูบล็อก แล้วแต่ชื่อทางการค้าจะเรียก ซึ่งเป็นเลนส์ฮอตฮิตกับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์มากๆ หรือแม้กระทั่งคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ด้วยคุณสมบัติของ การตัดแสงสีฟ้า ที่เชื่อว่า แสงสีฟ้านั้นเป็นอันตรายต่อสายตา ซึ่งด้วยคุณสมบัตินั้นเอง จึงทำให้คนที่ใส่แว่นชนิดตัดแสงสีฟ้า มองเห็นทุกอย่างโดยตัดแสงสีฟ้าออกไปส่วนหนึ่ง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกอย่างที่มองเห็น จะมีความอมเหลืองเล็กน้อย โดยถ้าเราใช้ชีวิตประจำวัน ทำงาน ขับรถ เล่นเกมส์ การตัดแสงสีฟ้านี้จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อการใช้ชีวิตปกติ แต่เมื่อเราต้องการเลือกผ้า เลือกสีทาบ้าน หรือสื่อสารด้านสีกับบุคคลอื่นจะเกิดความเพี้ยนขึ้นอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือ เมื่อคนใส่แว่นแบบตัดแสงสีฟ้า มองกระดาษ A4 สีขาว ก็จะเห็นสีเป็นสีขาวนวลๆ มาทางสีครีมนิดๆ แต่เมื่อคุณถอดแว่นโดยมองด้วยตาเปล่าสีขาวที่คุณเห็น ก็จะไม่อมเหลือง เป็นสีขาวปกติทั่วไป นั้นเอง ฉะนั้น ถ้าต้องการเห็นสีที่แท้จริงในการเลือกสี แล้วสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ เราไม่ควรใส่แว่นที่มีการตัดแสงสีฟ้า เพราะบุคคลอื่นๆ นั้นจะมองเห็นสีที่ไม่เหมือนกันกับคุณ แต่ทว่า ถ้าคุณเป็นคนเลือกเองใช้เอง มองเอง โดยใช้แว่นเลนส์ตัดแสงฟ้านี้ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถใส่เลือกผ้านั้นได้เลย ดังภาพตัวอย่างด้านล่าง

3. จากตัวผ้าเอง สุดท้ายแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คือการสีเพี้ยนจากกระบวนการผลิตเอง เรามาดูกันดีกว่าว่ามาปัจจัยอะไรบ้าง

  • ชนิดของเส้นด้าย มีผลต่อการมองเห็นสีที่เพี้ยน จะเห็นได้ว่าในเส้นใยธรรมชาติส่วนใหญ่มีผิวที่ไม่เรียบมีเท็กเจอร์ มีผลทำให้การสะท้อนแสงของเส้นใยแตกต่างกัน เช่นตัวอย่างเส้นใยของผ้าฝ้ายที่เป็นลักษณะหน้าตัดแบบเมล็ดถั่วและมีความบิดเป็นเกลียว เมื่อนำทอเป็นผืนผ้า ก็จะมีลักษณะผิวโดยรวมดูด้าน ไม่เงา ไม่ส่งผลต่อการเพี้ยนในการมองเห็นมากนัก ผิดกับผ้าที่มาจากเส้นใยไหม ที่หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งสามารถสะท้อนแสงได้ดี รวมไปถึงเส้นใยสังเคราะห์ อย่างโพลีเอสเตอร์ซึ่งเป็นเส้นใยประดิษฐ์ ที่มีลักษณะการฉีดออกมาเป็นเส้น มีผิวเรียบทรงกระบอก ก็สามารถสะท้อนแสงได้มาก เช่นกัน เมื่อเรานำเส้นใยเหล่านี้มาทอเป็นผ้าผืน จะทำให้มีความเงาขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความเงานี้ส่งผลทำให้เราสามารถเห็นผ้าสีแดงตามรูปด้านล่างนี้มีน้ำหนักของสี ที่ทั้งสว่างขึ้นเมื่อกระทบแสง และมืดลงเมื่อไม่ได้รับแสง เกิดเป็นมิติแสงเงาที่มากกว่าผ้าที่เป็นเนื้อฝ้ายโดยทั่วไป ฉะนั้นในการเลือกผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟา เราควรเห็นเนื้อผ้าจริง และลองจับผืนผ้าให้เกิดลอน เพื่อให้เห็นมิติของแสงเงาที่เกิดจากผ้านั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง
  • ชนิดของผ้า ในผ้าเนื้อกำมะหยี่ หรือ Velvet เป็นผ้าที่มีการทอแบบพิเศษ ซึ่งด้วยการทอแบบพิเศษนี้เองทำให้เกิดความเพี้ยนสีเกิดขึ้น ยกตัวอย่างผ้ากำมะหยี่สีแดง เมื่อเรามองจากมุมหนึ่งจะเห็นเป็นสีแดงปกติ แต่เมื่อเราเปลี่ยนมุมในการมอง เราก็อาจมองเห็นสีแดงนั้นเข้มขึ้นอย่างมากในมุมที่ต่างออกไป เพราะเนื้อผ้าชนิดนี้ มีการทอที่มีเส้นขนของผ้าที่ตั้งขึ้น ซึ่งทำให้มีมุมมองของผ้าบางส่วนเห็น ในส่วนของขนผ้าที่ตั้งขึ้น และบางส่วนล้มลง ฉะนั้นผ้ากำมะหยี่นี้ จึงเป็นผ้าที่มีมิติ ในการมองเห็นที่ไม่เท่ากันอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกผ้าม่าน หรือผ้าบุโซฟา เนื้อกำมะหยี่กับผู้อื่น ซึ่งยืนมองผ้าผืนเดียวกัน ในภาวะแสงเดียวกัน แต่ยืนมองคนละมุม ซึ่งสามารถเกิดความเข้าใจผิดว่า ผ้าผืนสีแดงนี้สีแดงเข้มเกินไป แต่ในขณะที่เราเห็นว่าสีแดงนี้พอดีแล้ว
  • ผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติ ทั้งฝ้าย ลินิน ขนสัตว์ ไหม ซึ่งวัสดุธรรมชาติที่นิยมนำมาทอผ้าม่านโดยส่วนใหญ่ คือ Cotton หรือฝ้าย, ลินิน ซึ่งเป็นเส้นใยจากพืช (Cellulose) ซึ่งแน่นอนว่า ภูมิประเทศ สภาพอากาศ, ฤดูการเก็บเกี่ยว, กระบวนการผลิตจากไร่ สู่การผลิตจากเส้นใยไปถึงเส้นด้าย ที่ต่างกันก็ส่งผลต่อการย้อมติดสีของผืนผ้านั้นๆ ซึ่งมีโอกาสที่ไม่เท่ากัน 100% อย่างแน่นอน
  • ผ้าต่างรอบการผลิต เป็นเรื่องปกติว่าการย้อมสี ถึงแม้จะในระดับโรงงานก็ตาม การเพื้ยนของสีก็สามารถเกิดขึ้นได้ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิการย้อม คุณภาพน้ำ ปริมาณน้ำต่อสีย้อม ปริมาณน้ำต่อน้ำหนักผ้า ในโรงงานระดับคุณภาพจะควบคุมปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ได้ แต่ก็ให้ค่าความเพี้ยนได้ไม่เกิน 5% ถือว่ารับได้
  • ผ้าที่ดูแดดเลีย หรือผ้าที่ซีดจางจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน Colorfastness of sunlight เป็นปกติของผ้าทั่วไปที่ใช้ในที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ก็มีการซีดจางของสีเป็นปกติ ถ้าเราเป็นไปโดนแสงแดดโดยตรง โดยประมาณ 3-6 เดือนก็จะเริ่มเห็นผลเมื่อนำไปเทียบกับบริเวณที่ไม่โดดแสงแดด แต่ก็จะมีผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะในการใช้กลางแจง หรือเอาท์ดอร์ ผ้าเกรดเอาท์ดอร์ดังกล่าวจะมีความสามารถในการทนก็การซีดจางของสีได้ดีกว่าผ้าทั่วไป
  • ผ้าที่ผ่านการซัก หรือผ้าที่ซีดจางจากการซัก Colorfastness of washing การซักนับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ว่า จะทำให้สีผ้าซีดจางลง ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะการใช้สารฟอกขาว รวมในการซักก็จะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการซีดของของสีเพิ่มากขึ้น

จากบทความด้านบน คงเห็นกันแล้วว่ามีหลายปัจจัยมาก ที่ส่งผลให้ผ้าสีเพี้ยน เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกผ้าสีนั้นๆ ที่คุณโปรดปราน อย่าลืมคิดถึงปัจจัยต่างๆ ที่เราฝากไว้ด้วยนะจ๊ะ ด้วยรัก