fbpx

ทำไมผ้าถึงเป็นขน ? มารู้จักกับ ‘Pilling’ กันเถอะ

Pilling คือขนของผ้าที่ม้วนตัวกันเป็นก้อน เกิดจากการเสียดสีจากการใช้งานบริเวณนั้น อาจเกิดเป็นบริเวณ หรือเป็นทั้งผืนก็เป็นได้ จากการใช้งานเป็นเวลานานๆ และอีกปัจจัยที่สำคัญคือชนิดของเส้นด้ายที่เรียกว่า ด้าย Spun เป็นด้ายที่เกิดจากเส้นใยขนาดสั้น นำมาปั่นเกลียวกันเป็นเส้นด้าย จุดประสงค์คือ เพื่อต้องการผืนผ้าที่มีความนุ่มฟู ให้สัมผัสที่ดีในการใช้งาน แต่ผ้าเหล่านั้นเมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง จะเกิดการคลายตัวของเกลียวเส้นดาย จนหลุดและยื่นส่วนปลายออกมา เมื่อมีการเสียดสีจะเกิดเป็นก้อนขนกลมที่ผืนผ้านั้นเอง

สำหรับผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสั้น หรือ Spun Yarn เช่น ฝ้าย การเกิด Pilling หรือก้อนขนนี้ ส่วนใหญ่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมักจะหลุดออกไปตามการใช้งาน หรือตอนซักผ้า  เป็นต้น แต่ก็จะมีผ้าบางชนิดที่เมื่อเกิด Pilling แล้วจะไม่หลุดไปเอง คือผ้าที่เป็นเส้นใยผสมระหว่างเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยธรรมชาติ ที่เห็นส่วนใหญ่ คือผ้าที่ผสมระหว่าง Polyester และ Cotton กล่าวคือ เมื่อเส้นใยเริ่มหลุดออก โดยเส้นใยโพลีเอสเตอร์จะมีความคงทนสูง และไม่หลุดออกจากเส้นโดยง่าย มาผสมกับเส้นใยฝ้ายที่หลุดออกมาได้ง่าย ทำให้เกิดการพันกันเป็นก้อน และไม่หลุดออกเองตามธรรมชาติ รวมถึงผ้าที่ทำมากจากเส้นใยสังเคราะห์ทั้งผืนที่ผลิตจากเส้นใยสั้นอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้วผ้าที่ไม่ต้องการความคงทนอะไรมากนักอย่างเสื้อผ้า ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้มีการทดสอบ Pilling Resistance ความทนต่อการขึ้นขน/เม็ด

คุณรู้จัก ‘ผ้าเอาท์ดอร์ (Outdoor Fabrics) หรือไม่ ?

Outdoor Fabrics จากชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้ว ‘ผ้าเอาท์ดอร์’ คือผ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง เช่น ร่มชายหาด, เตียงผ้าใบริมสระว่ายน้ำ หรือเบาะที่นั่งนอกอาคารที่โดนแดด

คุณสมบัติหลักของผ้าเอาท์ดอร์ส่วนใหญ่ คือกผ้าสามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้ มีความคงทนต่อการซีดจางของสี (Color Light Fastness) ที่มักนิยมเรียกกันว่า สีจาง หรือแดดเลีย ส่วนใหญ่ผ้าที่เราเห็นกันในท้องตลาดจะเป็นผ้าจากเส้นใยอะคริลิค (Acrylic) และโอเลฟิน (Olefins) ซึ่งเส้นใยทั้งสองชนิด มักจะเป็นการใส่สีลงไปตั้งแต่ขั้นตอนการฉีดเส้นใย ก่อนการตีเกียวเป็นเส้นด้าย ไม่ได้ผ่านการย้อมสีผ้าแบบปกติที่เราคุ้นเคย ด้วยกระบวนการดังกล่าวจึงทำให้ผ้าทั้งสองชนิดมีความคงทนของสีต่อแสงมาก ไม่ซีดจางเร็ว ซึ่งผ้าทั้งสองตัวนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ผ้าที่มาจากโอเลฟิน เป็นโพลิเมอร์ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ฉะนั้นจึงไม่สามารถรีดในอุณหภมิสูงได้ แต่มีข้อดีคือน้ำหนักที่เบากว่า และราคาที่ถูกกว่า นอกจากนั้นยังมีเส้นใยจากโพลีเอสเตอร์อีกชนิดหนึ่ง แต่คุณสมบัติด้านการคงทนต่อการซีดจางต่อแสงจะน้อยกว่าเส้นใยทั้งสองที่กล่าวมา เพราะใช้การย้อมสี และการตกแต่งสำเร็จ (Finishing) ในขั้นตอนสุดท้ายใส่สารเพื่อเพิ่มความคงทนต่อแสงเข้าไปในขั้นตอนการผลิต ก็จะได้คุณสมบัตินั้นเช่นกัน แต่จะมีประสิทธิลดลงหลังจากการซัก

ส่วนคุณสมบัติอื่นเพิ่มเติม เช่น การกันน้ำ หรือความจริงต้องเรียกว่า การสะท้อนน้ำ (Water Repellent), ความคงทนของสีจากคลอรีน, การป้องกันเชื้อรา (Anti-fungal), การเช็ดล้างได้ง่าย (Easy Clean) เป็นคุณสมบัติเพิ่มเติมเข้าไปจากคุณสมบัติหลักของผ้าเอาท์ดอร์

วิธีการดูแลรักษาผ้าคือ แม้จะเรียกว่าผ้าเอาท์ดอร์ แต่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้ง ขณะฝนตก เนื่องจากผ้าจะมีการตกแต่งพิเศษแบบกันเชื้อราก็ตามแต่วัสดุที่เป็นชั้นใน ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษใดๆ ซึ่งจะทำให้เกิดเชื้อราสะสมภายใน ลามออกมาถึงผ้าได้ด้วย และเป็นต้นเหตุของกลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์นั้นเอง


คุณสามารถทราบถึงคุณสมบัติดังกล่าวของผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ จากการสังเกตุสัญลักษณ์ดังรูปด้านล่างนี้

ดูผ้าเนื้อ OUTDOOOR ทั้งหมดได้ที่นี้ คลิก!!!

ดูเล่มตัวอย่างผ้า OUTDOOR ได้ที่นี้ คลิก!!!

ดูแผ่นพับตัวอย่างผ้า OUTDOOR ได้ที่นี้ คลิก!!!


สัญลักษณ์ Oeko-Tex Standard 100

Oeko-Tex Standard 100
การรับรองคุณภาพมาตรฐาน

สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 คือ สัญลักษณ์ที่ให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ระดับสากล จากสถาบันทดสอบสิ่งทอ (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology : OEKO) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชื่อมั่น และไว้วางใจ โดยเป็นที่ยอมรับกันระดับสากลว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย สารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น เส้นด้าย หรือผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ่งทอต่างๆ โดยใช้การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอซึ่งรับประกันว่าปราศจากสารที่เป็นอันตราย เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 และตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นหนึ่งในใบรับรองที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การรับรองแบ่งออกเป็นสี่ประเภทผลิตภัณฑ์ ตามวัตถุประสงค์การใช้งานของผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และแต่ละประเภทมีเกณฑ์การทดสอบเฉพาะ สี่ประเภทผลิตภัณฑ์คือ

  • Product Class I: ผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำหรับทารกและเด็กเล็กอายุไม่เกิน 36 เดือน เช่น เสื้อผ้า เครื่องนอน และของเล่น
  • Product Class II: ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่สัมผัสผิวหนังโดยตรง เช่น ชุดชั้นใน เสื้อยืด และถุงเท้า
  • Product Class III: ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ไม่สัมผัสผิวหนังโดยตรง เช่น แจ็กเก็ต เสื้อโค้ท และเสื้อผ้าชั้นนอกอื่นๆ
  • Product Class IV: วัสดุตกแต่ง เช่น ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ และผ้าบุนวม

การได้รับการรับรอง OEKO-TEX Standard 100 ผลิตภัณฑ์สิ่งทอต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดโดยห้องปฏิบัติการอิสระที่ได้รับการรับรองโดย OEKO-TEX เกณฑ์การทดสอบได้รับการปรับปรุงทุกปีเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ

การรับรอง OEKO-TEX Standard 100 ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ซื้อนั้นปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ผลิตสิ่งทอมีความได้เปรียบในการแข่งขันโดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนและแนวทางปฏิบัติในการผลิตที่มีความรับผิดชอบ

ผลิตภัณฑ์จากผืนผ้าในกลุ่มสำหรับตกแต่งที่อยู่อาศัย เช่น พรม, ผ้าม่าน, ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์, ผ้าปูโต๊ะ ฯลฯ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกจัดอยู่ใน Product Class IV : Decoration Material โดยโรงงานผู้ผลิตที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 บนผลิตภัณฑ์ได้ ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ทั้งในด้านกระบวนการผลิต และทางด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ปรากฎสัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับทุกชีวิตที่คุณรัก

คุณสามารถหาผ้าดังกล่าวจากผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ จากการสังเกต
สัญลักษณ์ OEKO-TEX Standard 100 ดังรูปด้านล่างนี้




ผ้าที่ได้รับมาตรฐาน OEKO-TEX คลิก!!!

เล่มตัวอย่างที่ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX คลิก!!!

ทิศทางของลายผ้า ทำไมต้องรู้ ?

ในการตัดเย็บผ้าม่าน สิ่งที่สำคัญมากคือการวางทิศทางของลายผ้าให้ถูกต้อง เพื่อการตัดเย็บที่สวยงาม และลายผ้าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังสะดวกต่อผู้ใช้งานในการตัดสินใจซื้อ  และสะดวกในการทำงานของช่างในการตัดเย็บผ้าม่าน

ผ้าม่านและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์จะมีทิศทางการใช้ผ้าที่แตกต่างกัน เช่น ผ้าหน้า 140 ซม. เวลาต่อผ้าจะต่อในแนวริมผ้า ถ้าทิศทางของผ้าเป็นลายตั้ง (ริมผ้าอยู่ทางซ้าย-ขวา) ม่านจะได้ลายเป็นลายแนวตั้งเช่นกัน หากผ้าเป็นผ้าหน้ากว้าง 280-300 ซม. ลายเป็นแนวตั้ง (ริมผ้าอยู่ทางซ้าย-ขวา) ซึ่งผ้าหน้ากว้างเวลาใช้งานนิยมกลับผ้าใช้โดยไม่ต่อผ้า ให้ริมผ้าอยู่ด้านบนและขอบหน้าต่าง ฉะนั้นลายผ้าที่ได้ออกมาจะเป็นแนวนอน เมื่อม่านติดตั้งสำเร็จ

ในกรณีผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ มักจะมีแต่ผ้าหน้าปกติ โดยปกติแล้วในการบุเฟอร์นิเจอร์มักจะกลับผ้าโดยริมผ้าจะอยู่แนวบนล่าง เพราะเฟอร์นิเจอร์จำพวกโซฟามักมีความยาวเกินกว่าหน้าผ้าที่จะห่อหุ้มได้ ฉะนั้นจึงนิยมกลับผ้าเพื่อให้ได้ความยาวตลอดตัวโซฟา หรือจะต่อผ้าเป็นตะเข็บตรงกลางเหมือนสไตล์โซฟาหนัง โดยมีการจำกัดของความกว้างวัสดุก็ทำได้เช่นกัน

ฉะนั้นหากจะเลือกซื้อผ้าม่าน ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ ควรดูว่าเป็นผ้าหน้ากว้าง หรือหน้าปกติ และดูทิศทางของลายผ้า เพื่อการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด โดยในแคตตาล็อกของเรามีสัญลักษณ์กำกับ โดยดูจากรูปไว้เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ


‘Dual Purpose’ บุก็ได้ ม่านก็ดี

การเลือกผ้าม่านและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการตกแต่งบ้าน  ทั้งประโยชน์ในการใช้สอย และยังช่วยสร้างอารมณ์ และบรรยากาศของบ้านให้น่าอยู่อบอุ่นมากยิ่งขึ้น สีสันของผ้าและลวดลายสะท้อนรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ในที่นี้เราจะมาพูดถึงผ้าประเภท Dual Purpose ซึ่งสามารถตอบโจทย์ในการแต่งบ้านได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผ้า Dual Purpose สามารถนำมาใช้เป็นทั้งผ้าม่านและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งหากมองดูเผินๆ ก็จะมีลักษณะเหมือนผ้าม่านทั่วไป แต่หากพูดถึงคุณสมบัติของเนื้อผ้าในการใช้งานในรูปแบบของผ้าบุเฟอร์นิเจอร์แล้ว สามารถนำไปบุเฟอร์นิเจอร์ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติด้าน RubTest (ความแข็งแรงที่ทนต่อการเสียดสี) เทียบเท่ากับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์เช่นกัน โดยลักษณะของผ้า Dual Purpose จะมีความพริ้วบางเหมือนผ้าม่านแต่มีความทนทานต่อการเสียดสีได้มาก เหมาะแก่การนำมาใช้เป็นทั้งผ้าม่านและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์

สำหรับเราแล้ว คุณสามารถสังเกตสัญลักษณ์ง่ายๆ เมื่อคุณเลือกซื้อผ้าม่านหรือ ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ กับบริษัท นิทัส เทสซิเล จำกัด ตามตัวอย่างข้างล่างนี้

ดูผ้าม่านก็ได้บุก็ดีได้ที่นี้ คลิก!!!


ผ้าที่ใช้ได้ทั้งหน้า และหลังมีด้วยเหรอ ?

ผ้าที่ใช้ได้ทั้งหน้า และหลัง Revers-able fabric  ในกระบวนการทอผ้าทั้งในแบบ Dobby และ Jacquard ที่ทำเทคนิคให้เกิดลวดลายที่สวยงามกับผืนผ้า บางครั้งสามารถสร้างสรรค์ลวดลายทั้ง 2 ด้านสลับกัน สามารถเลือกได้ทั้ง 2 ด้านว่าชอบน้ำหนักของด้านใดมากกว่ากัน เช่น ถ้าเราใช้เส้นด้ายสองชนิด ด้านหนึ่งเป็นพื้นผิวด้านตัวลายเป็นมันเงา กลับอีกด้านก็จะเป็นพื้นผิวมันเงาและตัวลายด้าน เป็นต้น โดยความสวยงามทั้งสองด้านขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าชอบด้านใดมากกว่ากัน หรือเป็นผ้าที่มีการทอแบบพิเศษที่หน้าผ้าและหลังผ้าให้บุคคลิกที่แตกต่างกันออกไป เหมือนซื้อผ้า 1 ครั้งได้ผ้าถึง 2 ผืนเลยที่เดียว

สำหรับเราแล้ว คุณสามารถสังเกตสัญลักษณ์ง่ายๆ เมื่อคุณเลือกซื้อผ้าม่าน กับเรา
บริษัท นิทัส เทสซิเล จำกัด ตามตัวอย่างข้างล่างนี้


Dim-Out VS Blackout

ก่อนจะมาเปรียบกัน ว่าใครดีกว่าใคร เรามาดูความแตกต่างกันก่อนว่า ผ้าม่านกันแสง Dim-Out และผ้าม่านทึบแสง Blackout มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร

  • ผ้าม่านกันแสง หรือผ้าม่านดิมเอาท์ (Dim Out Curtain) เป็นผ้าม่านที่มีคุณสมบัติกันแสง หรือที่นิยมเรียกกันว่า ‘ผ้าม่าน UV’ ผ้าดิมเอาท์นี้แสงสามารถรอดผ่านน้อยกว่า 20% ไม่สามารถมองเห็นวิวด้านหลังผ้า ขนาดกว้างโดยขนาดประมาณ 135-320 ซม. เป็นผ้าม่านที่ทอแบบพิเศษ โดยเป็นผ้า 3 ชั้น จะมีเส้นด้ายสีดำทออยู่ระหว่างชั้นผ้าเหมือนแซนวิช ซึ่งด้ายดำนี้ทำให้ผ้าดิมเอาท์มีคุณสมบัติกันแสงได้มากกว่าผ้าม่านปกติ จากลักษณะการทอพิเศษดังกล่าว จึงทำให้ผ้าดิมเอาท์มีคุณสมบัติการกันรังสี UV มากกว่าผ้าม่านปกติทั่วไป เนื่องจากเส้นด้ายสีดำนั้นมีคุณสมบัติการดูดซับรังสี UV มากกว่าสีอื่นๆ จึงทำให้ผ้าดิมเอาท์มีคุณสมบัติป้องการรังสี UV เข้าสู่ห้องของคุณ แม้ว่าสีผ้าจะไม่ใช่สีดำ แต่มีการทอสอดด้ายสีดำไว้ระหว่างขั้นของผ้า ผ้าดิมเอาท์ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นเรียบ หากเป็นลวดลายจะเป็นลวดลายที่ส่วนใหญ่ใช้เทคนิค การปั๊มลาย Embossing, การพิมพ์ลาย Printing, หรือทอลายที่เป็นเทกเจอร์เล็กน้อย หลังผ้าทอด้วยลายทอต่วน (Satin) เพื่อความเรียบเนียบ และลดการขัดกันของด้ายยืน และด้ายพุ่งให้มากที่สุดเพื่อลดช่องว่างที่จะทำให้แสงรอดผ่าน ไม่นิยมทอลายด้วยลายทอแจคการ์ด (Jacquard) เพราะในระหว่างช่วงลายจะทำให้มีช่องว่างให้แสงรอดผ่านได้ 
  • เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการแสง หรือแสงรบกวนในตอนเช้า เช่น ห้องนอน หรือห้องนอนโรงแรม แต่ไม่นิยมกับห้องที่ต้องการการกรองแสงลดส่วนหนึ่ง และปิดบังทัศนียภาพ เมื่อยามจำเป็นที่ต้องการความส่วนตัว เช่น ห้องทานข้าว หรือห้องนั่งเล่น

  • ผ้าม่านทึบแสง หรือผ้าม่านแบรคเอาท์ (Black Out Curtain) คือผ้าม่านที่มีความทึบแสง 100% แสงไม่สามารถลอดผ่านเลยแม้กระทั่งผ้าม่านเป็นสีขาวก็ตาม และไม่สามารถมองเห็นวิวด้านหลังผ้า ขนาดกว้างโดยประมาณ 135-150 ซม. ไม่นิยมเป็นผ้าหน้ากว้าง ที่กว้างอยู่ราวๆ 280-320 ซม. เพราะอุปสรรคด้านการขนส่งที่ไม่นิยมพับ เป็นผ้าม่านที่ทอแบบปกติทั่วไปทั้งมีลวดลาย และไม่มีลวดลาย แต่จะมีเคลือบด้านหลังผ้าด้วย ส่วนใหญ่จะเคลือบ 3 ชั้น และ 4 ชั้น ในกรณีของการเคลือบด้วยโฟมสีขาว (Foam Coating) ชั้นบนสุดและโฟมสีดำแทรกในชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 ของผ้าจะเป็นการเคลือบด้วยโฟมสีขาวดังกล่าว หรือในกรณีของการเคลือบด้วยซิลิโคน จะเป็นการเคลือบชั้นที่ 4 ด้วย Silicone เป็นชั้นสุดท้าย การเคลือบโฟมและซิลิโคน มีคุณสมบัติในการกันแสงสว่างเข้ามาภายในห้องถึง 100%
  • เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการแสง หรือแสงรบกวนในตอนเช้า เช่น ห้องนอนโรงแรม, โฮมเทียเตอร์, ห้องที่โดนแดดช่วงบ่าย เป็นต้น

ส่วนผ้าชนิดไหนจะดีกว่ากันก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การนำไปใช้ ในห้องที่เหมาะสม เช่นผ้าม่านกันแสง Dim-out สามารถกันแสงได้เฉลี่ย 85% แต่เปอร์เซ็นต์การกันแสงนี้จะขึ้นอยู่กับสีของผ้าด้วยเช่นสีอ่อนๆ สีขาวความสามารถก็จะลดลงต่ำกว่า 85% ส่วนถ้าเป็นสีเข้มๆ สีดำ ก็จะกันแสงได้มากกว่า85% เช่นกัน แต่ยังให้ความรู้สึกเป็นผ้านุ่มเข้าลอนได้ดีตามแบบผ้าม่านปกติ ส่วนผ้าทึบแสง Blackout กันแสงได้ 100% ไม่มีผลกับสีของผ้าไม่ว่าจะเป็นผ้าสีขาวก็ตาม เพราะด้วยการเคลือบดังกล่างข้างต้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผ้ามีความไม่กระด้างเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

ผ้าม่านทั้ง 2 ประเภทนี้ ยังสามารถป้องกันความร้อนและดูดซับรังสี UV ที่จะส่องผ่านเข้ามาภายในห้อง ช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ผ้าม่าน Dim-out และ Black out เหมาะกับทุกห้องภายในบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน และห้องโฮมเธียเตอร์ นอกจากนั้นออฟฟิตสำนักงาน และโรงแรมต่างๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน


คุณสามารถทราบถึงคุณสมบัติดังกล่าวของผ้า NITAS TESSILE ได้ง่ายๆ จากการสังเกตุสัญลักษณ์ ดังรูปด้านล่างนี้

ดูเล่มตัวอย่างผ้าม่านกันแสง (Dim-out) คลิก

ดูเล่มตัวอย่างผ้าม่านทึบแสง 100% (Blackout) คลิก

ดูแผ่นพับตัวอย่างผ้าม่านกันแสง (Dim-out) คลิก

ดูเนื้อผ้าม่านกันแสง (Dim-out) คลิก

ดูเนื้อผ้าม่านทึบแสง 100% (Blackout) คลิก


รู้หรือไม่ ‘ผ้ากำมะหยี่ (Velvet)’ ผลิตอย่างไร ?

ผ้านุ่มๆ ขนๆ ละเอียดๆ ที่เราเห็น ความจริงแล้วเป็นผ้าที่มีเทคโนโลยีในการทอขั้นสูง  ผ้า Velvet หรือผ้ากำมะหยี่ เป็นผ้าที่ใช้เครื่องชนิดพิเศษที่ทอผ้า ด้วยวิธี Face to Face คือการทอสองชั้นเหมือนแผ่นขนมปัง 2 แผ่น ในแซนวิส คู่ขนาดกันไป โดยมีเส้นการทอยึดโยงขึ้นลงระหว่างชั้นเหมือนใส้ของแซนวิส และที่หน้าอัศจรรย์คือเมื่อทอเสร็จแล้ว จะมีใบมีดตัดกลางระหว่างชั้นของพื้นผ้าด้านบนและด้านล่าง ทำให้แยกออกเป็นสองส่วน และทำให้ได้ หน้าผ้าที่เป็นขนนุ่มๆ พร้อมกัน 2 ผืนในการทอเพียงครั้งเดียว


แบบม่านที่นิยมใช้ตกแต่งบ้าน

ที่ผ้าม่านเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักใบการตกแต่งที่อยู่อาศัย ทั้งบ้าน คอนโด หรือหอ ผ้าม่านนอกจากจะตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์ต่างๆ ตามคุณสมบัติของผ้าม่าน เช่น กันแสง ทึบแสง เป็นต้น แล้วแบบม่านที่นิยมใช้ตกแต่งบ้านมีแบบไหนกันบ้าง? ไปทำความรู้จักกันเลย


Tab top curtains/Loops Curtains: ม่านคอกระเช้า

ผ้าม่านคอกระเช้า เนื่องจากรูปแบบหูม่าน หรือสายคล้องม่านมีลักษณะคล้ายเสื้อคอกระเช้า โดยใช้ตัวผ้ามาทำเป็นหูแทนห่วง หรือตะขอ รางที่ใช้ต้องเป็นรางโชว์เท่านั้นตามสไตล์ของแต่ละบ้าน เช่น รางไม้สัก รางเหล็ก ซึ่งอาจจะมีหัวไม่เหมือนกัน ม่านชนิดนี้ให้ความเรียบง่าย สบายตา ดูไม่มีอะไรซับซ้อน เหมาะกับห้องทุกสไตล์


Pinch Curtain: ม่านจีบ

ม่านสไตล์คลาสสิกที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก แบบผ้าม่านจะมีจีบเล็กๆ 3 จีบ อยู่บริเวณหัวผ้าม่านหรือด้านบนของผ้าม่าน การจับจีบจำนวน 3 จีบ เป็นจำนวนที่เป็นมาตรฐานที่สวยงามและนิยมใช้มากที่สุด การแขวนม่านสามจีบจะใช้ระบบตะขอแขวน โดยรางที่ใช้เป็นได้ทั้งรางโชว์ รางเชือก หรือรางไมโครก็ได้ ม่านชนิดนี้ทำให้ห้องมีความเรียบหรู ดูดีมีระดับ เหมาะกับห้องทุกประเภท


Grommet Curtains: ม่านตาไก่

ม่านที่มีห่วงตาไก่ (Eyelet Rings) อยู่ที่หัวผ้าม่าน การตัดม่านตาไก่ควรเผื่อลอนของม่านด้วย จะทำให้ห้องดูมีมิติมากขึ้ สามารถตัดได้ทั้งแบบใช้ผ้าน้อย ไม่ต้องเผื่อลอนให้นูนมากเพื่อประหยัดงบ หรือการใช้ผ้ามากเพื่อให้ลอนคลื่นมีความพริ้วไหวและสวยงามมมากกว่า รางที่ใช้สำหรับม่านตาไก่ เหมาะะสำหรับรางโชว์เท่านั้น หากจะนำมาซักต้องทำห่วงตาไก่ออกก่อนซักด้วย ม่านตาไก่เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ต้องการให้ห้องดูมีเสน่ห์ และมีระดับมากขึ้น


Ripple fold curtains: ม่านลอน หรือม่านลอนเอส

เป็นม่านที่มีลอนรูปตัว S ต่อกันไปเรื่อย ไม่ต้องจับจีบ ใช้เพียงอุปกรณ์สำหรับม่านลอน เช่น โซ่ หรือเชือก ม่านชนิดนี้จะทำให้เห็นลายผ้าสวยๆ โดยไม่เสียเนื้อที่ผ้าสำหรับจัดลอนม่าน รางที่เหมาะสำหรับม่านชนิดนี้คือ รางแบบลูกล้อ ทำให้ใช้งานง่ายสะดวก ลื่นไม่สะดุด ม่านลอน S เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเรียบหรู ดูดี ทันสมัย


Roman Blind: ม่านพับ

เป็นม่านแบบแบนเรียบใช้ระบบเชือกในการดึงเก็บม่าน ผ้าม่านจะถูกเก็บไปด้านบนของผ้าม่าน ผ้าม่านพับเหมาะสำหรับสำหรับหน้าต่างแคบ รางม่านที่เหมาะสำหรับม่านพับคือ รางระบบโรตารี่ ม่านพับเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเรียบหรู ทำให้บรรยากาศห้องมีความสดใสสวยงาม


นอกจากนั้นก็ยังมีม่านอื่นๆ อีก


Rod Pocket Curtains: ผ้าม่านร้อยท่อ

ผ้าม่านที่เย็บมีช่องสำหรับสอดรางท่าน และใช่การรูดเพื่อการย่นผ้าม่าน


Box Pleat Curtains: ผ้าม่านจับจีบแบบกล่อง

ผ้าม่านเหล่านี้มีลักษณะการจับจีบที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ซึ่งสร้างลุคที่เป็นทางการและเหมาะเจาะ


Café Curtains: ม่านคาเฟ่

ม่านเหล่านี้ปิดเฉพาะส่วนล่างของหน้าต่าง ให้ความเป็นส่วนตัวในขณะที่แสงยังส่องเข้ามาได้


Tier Curtains: ผ้าม่านชั้น

ผ้าม่านเหล่านี้มักใช้ในห้องครัวและห้องน้ำ และปิดเฉพาะส่วนล่างของหน้าต่างโดยเปิดส่วนบนทิ้งไว้


Tie-up curtains: ผ้าม่านผูก

ผ้าม่านเหล่านี้มีผ้าผูกหรือสายที่ช่วยให้สามารถยกขึ้นและลงได้ คล้ายกับร่มโรมัน


Balloon curtains ผ้าม่านทรงบอลลูน

ผ้าม่านเหล่านี้คล้ายกับผ้าม่านของออสเตรีย แต่จะมีปริมาตรและพองตัวมากกว่า คล้ายกับรูปทรงของลูกโป่ง


Panel curtains ผ้าม่านแผง

เป็นผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ปิดหน้าต่างหรือกั้นห้องได้


Japanese Noren curtains ม่านญี่ปุ่น หรือม่านโนเรน

เป็นม่านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่แขวนไว้ตามประตูหรือใช้กั้นห้อง โดยมักมีลวดลายสีสันสวยงามหรือมีอักษรวิจิตร


Austrian Curtains/Brail curtains ผ้าม่านออสเตรีย

ผ้าม่านเหล่านี้มีลักษณะเป็นผ้าจับจีบหรือผ้าจับจีบที่ดึงขึ้นมาเป็นของประดับตกแต่ง ทำให้ดูน่าทึ่งและสง่างาม


French Door Curtains: ผ้าม่านประตูฝรั่งเศส

ผ้าม่านนี้เย็บมาให้ขนาดให้พอดีกับหน้าต่างแคบๆ ที่มักพบในประตูฝรั่งเศส ให้ความเป็นส่วนตัวและควบคุมแสงได้


ม่านที่เป็นการประดับมากกว่าการใช้งาน

ยังมีม่านแบบต่างๆ หรือส่วนเสริมจากตัวม่านหลัก ที่เน้นการตกแต่งเพิ่มความสวยมชงามมากกว่าใช้งานจริง


Valance Curtains: ม่านแขวนประดับ

เป็นม่านตกแต่งที่แขวนไว้ที่ด้านบนของหน้าต่าง มักใช้เพื่อเพิ่มสีสันและสไตล์ให้กับห้อง


Swag Curtains: ม่านย้อย

เป็นม่านตกแต่งที่ห้อยเหนือราวม่านและห้อยลงมาที่ด้านใดด้านหนึ่งของหน้าต่าง มักจะจับคู่กับม่านแขวน


Jabot Curtains: ม่านหางปลา

ผ้าม่านเหล่านี้มีราวแขวนแบบโค้งยาวที่ด้านบน มีผ้าซ้อนกันทั้งสองด้าน ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ย้อย


Scarf curtains: ม่านผ้าพันคอ

เป็นผ้าผืนยาวที่พลิ้วไหวสามารถพาดผ่านราวม่านและจัดทรงได้หลากหลายวิธี


Beaded curtains ม่านลูกปัด

ม่านทำมาจากลูกปัดหรือคริสตัล และมักใช้เป็นฉากกั้นห้องหรือเป็นเครื่องประดับชิ้นเด่นในห้อง


Macrame curtains: ม่านมาคราเม่

ม่านนี้ทำจากเชือกมาคราเม่ที่ผูกปมหรือถักทอ เพิ่มลุคโบฮีเมียนและเท็กซ์เจอร์ให้กับห้อง และดูเป็นการโชว์ฝีมือ อีกด้วย


ส่วนเสริมอื่นๆ ของม่าน

คือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยเสริมความสวยงามของม่าน


Cornice curtains: บัวกล่องม่าน/กล่องม่าน

โครงไม้หรือหุ้มเบาะที่ด้านบนของหน้าต่าง เพิ่มองค์ประกอบตกแต่งและให้รูปลักษณ์ให้ลงตัว และเพื่อปิดรางและหัวม่าน


Tassel fringe: พู่ประดับ

พู่ตกแต่งหรือขอบเย็บติดกับขอบผ้าม่าน เพิ่มความสวยงามและความน่าสนใจ